ประเพณีและวัฒนธรรมไทย
ผู้จัดทำ
ประเพณีและวัฒนธรรมไทย
ประเพณีไทย ภาคเหนือ
ประเพณีไทย ภาคอีสาน
ประเพณีไทย ภาคกลาง
ประเพณีภาคใต้
ประเพณีแต่ละภาค ยูทูป
ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ
ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ
คือ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นโอบฐานเจดีย์พระบรมธาตุเมืองนคร จังหวัดนครศรีธรรมราช สมัยโบราณเรียกประเพณีนี้ว่า “ประเพณีแห่พระบฏขึ้นธาตุ” (ผ้าพระบฏ คือ ผ้าผืนยาวและใหญ่และมีการเขียนรูปพุทธประวัติลงบนฝืนผ้านั้น)มูลเหตุของการเกิดประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า เมื่อราวปี พ.ศ. ๑๗๗๓ ได้มีชาวพุทธจากเมืองอินทปัตแห่งกัมพูชากลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางไปเกาะลังกา เพื่อนำผ้าพระบฏไปบูชาพระเขี้ยวแก้ว แต่เกิดเหตุคลื่นซัดเรือแตกทำให้ผ้าพระบฏและชาวพุทธประมาณสิบคนลอยไปติดริม ฝั่งที่อำเภอปากพนัง ครั้นพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ผู้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชทราบข่าวจึงได้สั่งให้นำผ้าพระบฏนั้นไปห่ม พระบรมธาตุเจดีย์ เนื่องในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุและถือเป็นประเพณีแห่พระบฏขึ้นธาตุที่ผู้ครอง เมืองนครศรีธรรมราชทุกคนจะต้องปฏิบัติในทุกสมัย“ตามประวัติการแห่ผ้าขึ้นธาตุจะทำในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุประจำปี แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ากระทำในวันใด ครั้นถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุมีการปฏิบัติ ๒ วัน คือ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ (วันมาฆบูชา) และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (วันวิสาขบูชา)”“พิธีกรรมของประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุหรือประเพณีแห่พระบฏขึ้นธาตุ ในสมัยโบราณ จะจัดเป็นขบวนอันใหญ่โอและเอิกเกริกเพียงขบวนเดียว ซึ่งนอกจากจะมีผ้าพระบฏแล้วยังมีสำรับอาหารคาวหวาน กระบุงหรือกระจาดที่บรรจุผักสด ผลไม้และของแห้ง และประดับด้วยธงที่ทำจากผ้าสีต่างๆ นำไปถวายพระสงฆ์ที่วัดด้วยวิธีสลากภัต (สลากภัตคือวิธีการถวายภัตตาหารพระสงฆ์ด้วยการให้พระสงฆ์จับสลาก) จากนั้นจะเป็นพิธีการห่มผ้าพระบฏรอบพระธาตุ”แต่ในปัจจุบันประชาชนที่มาร่วมงานแห่ผ้าขึ้นธาตุนั้นมาจากต่างถิ่นกัน ต่างคนต่างมาและมีการเตรียมผ้ามากันเอง ใครมีความพร้อมก่อนก็แห่ผ้าขึ้นธาตุก่อน โดยเมื่อขบวนแห่ของผู้ใดแห่มาถึงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า) ก็จะทำการเวียนประทักษิณ (คือการเวียนขวาโดยให้สิ่งที่เรานับถือหรือบุคคลที่เรานับถืออยู่ทางขวาของ ผู้เวียน) รอบพระบรมธาตุ ๓ รอบ แล้วนำผ้าพระบฏเข้าสู่วิหาร โดยแต่ละกลุ่มจะส่งตัวแทนประมาณ ๓-๔ คน ไปกับเจ้าหน้าที่ของวัดเพื่อนำผ้าพระบฏขึ้นโอบรอบพระบรมธาตุเจดีย์ เป็นอันเสร็จพิธีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ซึ้งเป็น
ประเพณีที่ชาวไทย
ควรอนุรักษณ์อย่างยิ่ง
ประเพณีชักพระ
ประเพณีชักพระหรือลากพระ
เป็นประเพณีของชาวภาคใต้ โดยจะปฏิบัติกันในช่วงออกพรรษา (วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑) ซึ่งมีความเชื่อว่า ครั้งสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสร็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระมารดา พอถึงช่วงออกพรรษา พระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับยังโลกมนุษย์ ทำให้ชาวบ้านมีความปราบปลื้มมาก จึงอันเชิญพระพุทธองค์ขึ้นประทับบนบุษบกและแห่ไปยังที่ประทับของพระพุทธองค์ ครั้นเลยสมัยพุทธกาลชาวบ้านจึงนำพระพุทธรูปมาแห่สมมุติแทนพระพุทธองค์ประเพณีชักพระหรือลากพระมีผู้สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในประเทศอินเดียตามลัทธิ ของศาสนาพราหมณ์ที่นิยมนำเทวรูปออกแห่ในโอกาสต่างๆ ต่อมาชาวพุทธได้นำมาดัดแปลงให้ตรงกับศาสนาพุทธ ประเพณีชักพระหรือลากพระได้ถ่ายทอดมาถึง
ประเทศไทย
ภาค ใต้ได้รับและนำไปปฏิบัติจนกลายเป็นประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน โดยชาวใต้มีความเชื่อว่าการลากพระจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลหรือเป็นการขอฝน เพราะผู้ประกอบพิธีส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม“การชักพระหรือลากพระของชาวใต้มี ๒ ประเภท คือ ลากพระทางบกกับลากพระทางน้ำ”
การลากพระทางบ
ก คือ การอันเชิญพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขึ้นประดิษฐานบนนมพระ (คือยานพาหนะที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปในการลากพระทางบก) หรือบุษบกแล้วแห่ไปยังจุดหมาย การลากพระทางบกเหมาะกับวัดที่อยู่ห่างไกลแม่น้ำลำคลอง
การลากพระทางน้ำ
คือ การอันเชิญพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ขึ้นประดิษฐานบนเรือพระแล้วแห่ไปยังจุดหมาย การลากพระทางน้ำเหมาะกับวัดที่อยู่ใกล้แม่น้ำในวันชักพระหรือลากพระจะมีการตักบาตรหน้าล้อ โดยชาวบ้านจะเตรียมอาหารมาใส่บาตร ซึ่งบาตรนั้นจะเตรียมไว้หน้าพระลาก การตักบาตรหน้านมพระเรียกว่า “บาตรหน้าล้อ” หลังจากตักบาตรเสร็จแล้วจะอันเชิญพระลากประดิษฐานบนบุษบก และเมื่อพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ชาวบ้านจะนำขนมต้ม (ขนมชนิดหนึ่งทำด้วยข้าวเหนียวและห่อด้วยใบพ้อ) มาใส่บาตรและแขวนไว้หน้านมพระ และเมื่อมีการลากพระถึงหน้าบ้านใครคนในบ้านนั้นก็จะนำขนมต้มออกมาใส่บาตร“แต่การลากพระทางน้ำ เรือพายของชาวบ้านจะไม่สามารถเข้าใกล้เรือพระได้ ชาวบ้านที่ต้องการทำบุญด้วยขนมต้ม จะใช้วิธีปาต้มหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ซัดต้ม” ”เมื่อเรือพระทุกลำมาถึง ณ จุดหมายแล้ว จะมีการประกวดเรือพระ โดยแยกออกเป็น ๒ ประเภทคือ เรือพระบกและเรือพระน้ำ พอถึงเวลาบ่ายหรือเย็นก็จะลากเรือพระกลับวัด แต่ในปัจจุบันเรือพระจะจอดไว้ประมาณ ๓-๕ วันถึงจะลากกลับวัด เนื่องจากว่ามีประชาชนร่วมกันทำบุญเป็นจำนวนมาก
ประเพณี
การลากพระนิยมทำกันแทบทุกจังหวัดของภาคใต้ แต่การลากพระที่มีชื่อเสียงก็เช่น ที่อำเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง เป็นต้น
ประเพณีตักบาตรธูปเทียน
ประเพณีตักบาตรธูปเทียนคือ
การถวายธูปเทียนแด่พระสงฆ์ ซึ่งประเพณีตักบาตรธูปเทียนถือเป็นส่วนหนึ่งของการถวายสังฆทานในวันเข้า พรรษา ช่วงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งการตักบาตรธูปเทียนจะมีขึ้นที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชเพียงแห่งเดียว แต่ปรากฏว่าเครื่องสังฆทานที่ชาวบ้านนำมาถวายนั้นมากเกินความจำเป็น จึงได้อาราธนาพระสงฆ์จากวัดต่างๆ มารับเครื่องสังฆทานนั้น
ประเพณีตักบาตรธูปเทียนมีพิธีกรรมโดย นิมนต์พระสงฆ์จากวัดอื่นๆ ยืนเรียงแถวที่หน้าวิหาร และชาวบ้านจะนำเครื่องสังฆทานพร้อมทั้งดอกไม้ธูปเทียนที่เตรียมมาใส่ในย่าม พระ เมื่อเสร็จแล้วชาวบ้านจะทำการจุดเปรียง (การจุดเปรียงคือ การนำน้ำมันมะพร้าวใส่ในเปลือกหอยพร้อมด้วยด้ายดิบและจุดไฟที่ด้ายเพื่อให้ ไฟสว่างไสวไปทั่วทั้งวัด) ตามหน้าพระพุทธรูปและลานเจดีย์ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร“แต่ปัจจุบันประเพณีตักบาตรธูปเทียนได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง เช่น แต่เดิมชาวบ้านจะเตรียมดอกไม้ธูปเทียนมาเอง แต่ปัจจุบันดอกไม้ธูปเทียนจะมีวางขายทั่วไป หรือเมื่อก่อนพระสงฆ์จะเข้าแถวรับบาตรแต่เฉพาะบริเวณหน้าวิหาร แต่ในปัจจุบันได้ขยายพื้นที่ไปถึงหน้าวัด เมื่อครั้งอดีตหลังจากใส่บาตรเรียบร้อยแล้วจะมีการจุดเปรียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาจุดเทียนไขแทน เพราะการจุดเปรียงทำให้เกิดไปไหม้อยู่บ่อยครั้ง” เรามา
อนุรักษณ์ประเพณีไทย
ไม่ให้สูญหายกันนะค่ะ
การแข่งขันว่าวประเพณี จังหวัดสตูล
ฤดูแห่งลมว่าวพัดมาถึงอีกครั้ง ท้องฟ้าจึงถูกประดับประดาด้วยว่าวนานาชาติ หนึ่งในนั้นคือว่าวควาย ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านสู่เอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นของว่าวเมืองสตูล ประชันความงามล่องเวหาไปพร้อมๆ กันกับว่าวนานาชาติ เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าจนสุดสายป่าน คุณก็ไม่อาจละสายตา และเพลิดเพลินไปกับงานแข่งขันว่าวประเพณี ณ จังหวัดสตูล”ต้นข้าวขณะออกรวงเรียว ผ่านพ้นช่วงฝนตกหนักสู้ฤดูหนาวต้นปี รวงข้างเอนกระทบกันเสียงกระซิบของท้องทุ่ง ตามด้วยสายลมที่พัดผ่านมาเป็นสัญญาณเปลี่ยนฤดูกาล ขณะรอเก็บเกี่ยวผลผลิต เหล่านักประดิษฐ์ต่างนำว่าวตัวเก่งมาล่องลม ในช่วงเวลาดังกล่าวของทุกปีท้องฟ้าเมืองสตูลจึงเต็มไปด้วยว่าวหลากชนิดที่บร รดาเด็กๆ คนหนุ่มสาว ต่างออกลีลาวาดลวดลายประชันฝีมือในการบังคับว่าวอย่างรื่นเริงการเรียนรู้อยู่ร่วมกันตามวิถีของธรรมชาติ ทำให้การนำว่าวมาใช้ประโยชน์ในการสร้างความบันเทิงพัฒนารูปแบบเรื่อยมา ทั้งในประเทศไทยรวมทั้งว่าวจากนานาชาติ จนเริ่มมีการแข่งขัน คนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างภูมิประเทศ จึงมีโอกาสพบเห็นว่าวรูปทรงแปลกและแตกต่างกัน นั่นรวมถึงว่าวควายที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นของสตูลลักษณะของว่าวควาย ช่วงล่างเป็นรูปทรงเขาโง้ง ขนาดกว้างประมาณหนึ่งเมตร นิยมใช้สีขาวเป็นตัวว่าว อาจแต่งแต้มสีบ้างเล็กน้อย มีแอกรับลมเกิดเป็นเสียงขณะล่องลม ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่แปลกตา ประกอบกับเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อติดลมบน ได้กลายเป็นมนต์เสน่ห์ ที่สามารถนำกฎทางธรรมชาติมาผสานกับแนวคิดของคน และกลายเป็นกิจกรรมยามว่างที่ไม่ว่าใครก็ต่างสนใจประเพณีการแข่งขันว่าว แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ใครบังคับได้ขึ้นสูงก็รับรางวัลประเภทขึ้นสูง ใครเสียงดังกังวานก็ต้องมอบรางวัลชนะเลิศประเภทเสียงกังวาน แต่หากมีพรสวรรค์ด้านศิลปะก็ตกแต่งว่าวมาอย่างครบเครื่องในประเภทสวยงามและ ความคิดนสร้างสรรค์ นอกจากมีการจัดแข่งขันว่าวในประเภทต่างๆ แล้ว ยังมีการแข่งขันการประดิษฐ์ว่าว ประกวดธิดาว่าว จัดแสดงโชว์ว่าวสตันไทย และว่าวต่างประเทศ มีซุ้มนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของว่าว พร้อมการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของสตูล การแสดงดนตรีสด ร่วมด้วยหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน นำสินค้าต่างๆ มาออกร้านมากมาย จนทำให้บรรยากาศภายในงานจึงเต็มไปด้วยความครึกครื้นรื่นเริง สุดแสนประทับใจ
วันเวลาการจัดงาน :
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์
สถานที่จัดงาน :
สนามบินจังหวัดสตูล
ประเพณีขันตีโพน จังหวัดพัทลุง
“หลังประดิดประดอยโพนพร้อมสำหรับการประชันแล้ว เสียงโพนจึงดังกึกก้อง สร้างความครึกครื้น รื่นเริง ในงานประเพณีแข่งขันตีโพน เครื่องดนตรีพื้นบ้านซึ่งอยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนเมืองลุง ด้วยเสียงอันทุ้มแหลมกังวาน เกิดเป็นคำกล่าวที่ว่า จะร้อยพันแม้นหมื่นเสียงตะโกน ฤาจะสู้เสียงแข่งโพนที่เมืองลุง”โพน ชื่อเรียกเครื่องดนตรีพื้นบ้านของชาวปักษ์ใต้ เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตของคนในอดีต ใช้บอกเหตุร้ายเวลากลางคืน บ้างใช้สำหรับเรียกประชุมหมู่บ้าน เป็นสัญญาณเมื่อถึงเวลาฉันอาหาร รวมทั้งใช้เป็นจังหวะในงานประเพณีลากพระ พัฒนาสู่ประเพณีการแข่งขันตีโพยด้วยในวันงานลากพระ วัดในละแวกเดียวกันต่างจัดงานกันยิ่งใหญ่ เสียงโพนจึงดังกึกก้องจนไม่สามารถแยกได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากวัดไหน นำสู่การแข่งขันประชันเสียงโพน โดยเฉพาะในจังหวัดพัทลุงจะมีการจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในทุกๆ ปีประเพณีแข่งขันตีโพนจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิบจนถึงวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนสิบเอ็ด จัดควบคู่ไปกับประเพณีลากพระในวันออกพรรษา ก่อนถึงวันแข่งขัน เหล่านักตีโพนต่างขะมักเขม้นกับการประดิษฐ์เพื่อให้ได้โพนที่เสียงดีที่สุด เลือกเอาไม้เนื้อแข็ง ตาลโตนด จำปาป่า ขนุนป่า แกะเป็นรูกลมกลวงคล้ายอกไก่ ใช้หนังควายแก่ซึ้งเป็นที่นิยมด้วยความเหนียวทนทานเป็นหนังหุ้ม โพนของพัทลุงจึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยความพิถีพิถันในการประดิษฐ์
ตีโพนแบ่งการแข่งขันออกเป็นสองลักษณะคือ การแข่งขันมือ (ตีทน) ใครตีทน ตีนานกว่าเป็นผู้ชนะ อีกประเภทคือการแข่งขัน “จันเสียง” ซึ่งจะได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน บรรยากาศวันงานแข่งโพนในจังหวัดพัทลุงจะเต็มไปด้วยความครึกครื้น สนุกสนาน เหล่านักตีโพนต่างแสดงพละกำลัง ลูกเล่น ไหวพริบต่างๆ ส่งเสียงทุ้มแหลมของโพนดังกังวานทั่วบริเวณ และแม้จะเป็นการแข่งขันแต่ผู้ลงชิงชัยต่างมีแต่รอยยิ้ม ความสุขจากการได้ร่วมงานประเพณีที่เป็นเสมือนส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในท้อง ถิ่นบ้านเกิดของตนเอง สะท้อนภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้อง เกิดความรัก ความสามัคคี ด้วยวิถีอันเรียบง่ายที่คงเสน่ห์ยาวนาน
ถึงวันออกพรรษา ทำบุญตักบาตรเสร็จแล้วอย่าลืมแวะมาฟังเสียงโพนเมืองลุง “จะแลแข่งโพนให้หรอยและหนุกต้องแข่งโพนเมืองลุง” โพนดี โพนดัง ต้องโพนเมืองลุง
วันเวลาการจัดงาน :
ปลายเดือน ๑๐ จนถึง วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ประมาณช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม นิยมแข่งขันกันในช่วงกลางคืนตั้งแต่เวลา ๒๑.๐๐ น. เป็นต้นไป
สถานที่จัดงาน :
บริเวณเทศบาลเมืองพัทลุง
ประเพณีแข่งเรือหน้าพระที่นั่ง และงานของดีเมืองนรา จังหวัดนราธิวาส
“สีสันเรือกอและอันคงเอกลักษณ์ จากวิถีชีวิตชาวประมงนำสู่ประเพณีท้องถิ่น เหล่าฝีพายนับสิบประจำในลำเรือ จากนั้นจึงจ้ำพายสู่หลักชัย ใครเร็วกว่าคือผู้ชนะ เสียงปรบมือโห่ร้องส่งกำลังใจจากกองเชียร์ดังรอบ ภาพบรรยากาศประเพณีแข่งเรือหน้าพระที่นั่ง และงานของดีเมืองนรา จึงเต็มไปด้วยสีสันเช่นความงามของลำเรือ”เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ทรงเสด็จออกเยี่ยมราษฎร เพื่อรับฟังปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชน เป็นที่มาของโครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ช่วยให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ชาวนราธิวาสจึงได้นำเอาการแข่งขันเรือกอและ
ประเพณีไทย
อัน เก่าแก่ถวายทอดพระเนตรเพื่อเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น นำไปสู่การปฏิบัติตามประเพณีซึ่งเริ่มจางหายไปให้กลับมาดำรงอยู่อีกครั้งในฤดูน้ำหลาก วิถีชีวิตของชาวประมงยังคงดำเนิน ขณะที่อีกด้านถือเป็นโอกาสประชันความแข็งแกร่งของเหล่าฝีพายจากทั่ว หมู่บ้าน ตำบล เรือกอและหลากสีสันลอยลำเป็นระนาบเดียวกันบนผืนน้ำ แล้วจึงกระโจนออกไปด้วยแรงสามัคคีจากเหล่าฝีพาย มุ่งตรงไปยังหลักชัยด้วยจังหวะอันพร้อมเพรียง ผืนน้ำกระเซ็นเป็นละออง เพียงแค่อึดใจเดียวผู้เร็วกว่าจึงได้คว้าเอาธงซึ่งถือเป็นหลักชัยมาครอง และนับเป็นชัยชนะในเที่ยวนั้นการแข่งขันจะแบ่งออกเป็นสี่รอบ เหล่าฝีพายแต่ละลำเรือไม่เกินยี่สิบสามคน รวมทั้งนายท้าย มีฝีพายสำรองไม่เกินลำละห้าคน การเข้าเส้นชัยจะนับส่วนหัวเรือสุดของเรือที่เข้าเส้นชัยก่อนลำอื่นเป็นผู้ ชนะในรอบนั้น ทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเริ่มการแข่งขัน เสียงเชียร์จะดังกึกก้องท้องน้ำ เรือกอและยังคงเอกลักษณ์ด้วยสีสัน เลี้ยงชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านมาช้านาน ในวันนี้ได้สร้างความรื่นเริง สนุกสนาน ลดความเหนื่อยล้าจากการงาน สร้างรอยยิ้มให้กับชาวบ้านได้อย่างน่าชม
วันเวลาการจัดงาน :
ปลายเดือนกันยายนของทุกปี
สถานที่จัดงาน :
บริเวณหน้าพลับพลาเฉลิมพระเกียรติสิริราชสมบัติ ครบรอบ ๕๐ ปี อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส
ประเพณีทอดกฐิน
ประเพณีทอดกฐินจะทำในช่วงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน เกี๋ยงเหนือหรือเดือนตุลาคม ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่เหนือ หรือเดือนพฤศจิกายน สมัยโบราณชาวล้านนาไม่นิยมทอดกฐินเนื่องจากว่าจะต้องใช้ปัจจัย (เงิน) ค่อนข้างมาก ผู้ที่จะถวายกฐินได้จะต้องมีฐานะดีและมีความตั้งใจจริง
เมื่อผู้ใดมีความประสงค์จะถวายกฐิน จะต้องจองกฐินที่วัด และบอกแก่ชาวบ้านให้ทราบโดยทั่วกัน เมื่อถึงวันทอดกฐินก็จะมีการแห่กฐินมาทอดที่วัด และในบางวัดจะมีมหรสพในตอนกลางคืนด้วย
ประเพณีชักพระจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ด้วยจิตอันศรัทธายิ่งต่องาน
ประเพณี
เมื่อถึงวันชักพระ ชาวบ้านต่างร่วมกันทำบุญตักบาตร อันเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนบุษบกบนเรือพระ รถพระ ซึ่งตกแต่งอย่างงดงาม จากนั้นจึงออกแรงชักพระ เรือพระ ออกจากวัด สมโภชไปตามถนน ลำคลอง ผู้คนหนาตาด้วยจิตศรัทธาเป็นหนึ่งเดียวกัน”ตระเตรียม สลักเสลา ประดับประดิษฐ์ รถ เรือพนมพระ งดงามเมลืองมลัง ด้วยมวลหมู่ดอกไม้ ด้วยจิต ด้วยศรัทธา สมความยิ่งใหญ่ในประเพณีอันนับถือสู่สิริมงคล นับร้อย นับพัน ร่วมแรง ร่วมใจ แข็งขัน สามัคคี คนหนุ่มสาว ผู้เฒ่า ผู้แก่ ออกเรี่ยว ออกแรง เฮโล เฮลา ถึงวันเรามาชักพระร่วมกันนับนานแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากเทศนาโปรดพุทธมารดากลับมายังโลกมนุษย์ พุทธศาสนิกชนเฝ้ารอตักบาตรรับเสด็จ เกิดเป็นประเพณีตักบาตรเทโว แถบถิ่นปักษ์ใต้ยังมีประเพณีชักพระควบคู่ด้วยกัน ปฏิบัติสืบมาช้านาน สุราษฏร์ธานีแต่ละปีจัดงานชักพระยิ่งใหญ่ ถึงแรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ดออกพรรษาแล้ว ผู้คนเนืองแน่น คนจากไปอยู่ถิ่นไกลกลับบ้านร่วมงานบุญถิ่นฐานบ้านเกิด ด้วยปลูกวิถีแห่งประเพณีประดับจิตไว้แต่เล็กแต่อ่อน ช่วยกันตกแต่งทำรถ เรือพนมพระ งดงาม อันเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนบุษบก บนเรือพระ รถพระ เตรียมอาหารคาวหวาน ขนมต้ม ทำบุญตักบาตร แล้วชักรถ เรือพระออกจากวัด สมโภชตามถนน ลำคลอง เสียงโพนนำขบวน ครึกครื้น สนุกสนาน รื่นเริง วัดนับร้อยเข้าร่วมพิธี วันเดียวจึงเปรียบทำบุญได้ร้อยวัดหลายบ้าน หลายเรือน จัดพุ่มผ้าป่า จัดไฟประดับสวยงาม บอกเล่าเรื่องราวพุทธชาดก เรื่องของนรก สวรรค์ พานพุ่มเตรียมผ้าผืนน้อยไว้สำหรับพระภิกษุชักเป็นผ้าบังสุกุล ปิ่นโตหนึ่งเถา บรรจุอาหารปรุงรสด้วยจิตเต็มเปี่ยมแห่งศรัทธา เรียกพุ่มผ้าป่านี้ว่า “ผ้าป่าข้าวสุก”นอกนั้นผละจากพิธีรีตองตามขนบธรรมเนียมถือปฏิบัติ ยังมีงานรื่นเริงแข่งขันเรือยาวแห่งลุ่มน้ำตาปี ในฤดูน้ำปริ่มตลิ่ง ต่างคน ต่างเชียร์ เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง เป็นเช่นนี้ในทุกๆ ปี เป็นที่น่ายินดีที่ท้องถิ่นจะอนุรักษ์ปฏิบัติสืบต่อไป
วันเวลาการจัดงาน :
เทศกาลออกพรรษาของทุกปี ประมาณเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน
สถานที่จัดงาน :
บริเวณริมเขื่อนแม่น้ำตาปี สะพานนริศ ต.ตลาด อ.เมือง, สนามข้างโรงแรมวังใต้ อ.เมือง