ประเพณีและวัฒนธรรมไทย
ผู้จัดทำ
ประเพณีและวัฒนธรรมไทย
ประเพณีไทย ภาคเหนือ
ประเพณีไทย ภาคอีสาน
ประเพณีไทย ภาคกลาง
ประเพณีภาคใต้
ประเพณีแต่ละภาค ยูทูป
เรื่องน่ารู้ประเพณีและวัฒนธรรมไทย
มกราคม
ฤดูเก็บเกี่ยว
เดือนยี่เมื่อการเก็บเกี่ยวข้าวในนาเเละนวดข้าวเสร็จสิ้นลง เกษตรกรชาวนาซึ่งทำงานหนัก เพราะต้องทำงานตรากตรำ กลางเเดดฝนอยู่ในโคลนตมเป็นเวลานานๆ เมื่อไถหว่านปักดำ จนต้นข้าวงอกงามเติบโตเเละออกรวง ได้เก็บเกี่ยวพืชผลที่ลงเเรงไว้ เมื่อนวดข้าวเเละเก็บข้าวขึ้นใส่ยุ้งฉางเรียบร้อยเเล้ว เสร็จสิ้น การทำงานอีกครั้งหนึ่ง ก็ร่วมกันทำบุญให้ทานเพื่อความเป็น
สิริมงคล เเก่ตนเอง ครอบ
ครัวเเละ หมู่บ้าน
กุมภาพันธ์
เดือนมาฆะ
"มาฆะ" เเปลว่า เดือน ๓ ทางจันทรคติเรียกว่า มาฆมาส หรือ มาฆบูชาจาตุรงคสันนิบาต วันมาฆบูชากำหนดตรงกับวันเพ็ญเดือน ๓ ของทุกๆปี พระราชพิธีกุศลวันมาฆบูชานี้ เกิดเมื่อครั้งรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงมีพระราชดำริว่า วันเพ็ญกลางเดือน ๓ เป็นวันพระจันทร์เสวยมาฆฟกษ์ มีเหตุการณ์สำคัญยิ่ง จึงได้พระกรุณาโปรดเกล้าให้จัดทำพิธีมาฆบูชาขึ้น
ผีตาโขนประเพณีไทย
ประวัติความเป็นมาผีตาโขน
ประเพณีผีตาโขน เป็นประเพณีที่จัดขึ้นในอำเภอด่านซ้าย ของจังหวัดเลย ซึ่งมีพื้นที่อยู่ทางภาคอีสานของไทย ไม่มีข้อมูลชัดแจ้งว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่มีข้อสันนิษฐว่าน่าจะมีตั้งแต่มี บุญหลวง คือบุญพระเวชสันดรและบุญบั้งไฟรวมกัน ซึ่งเป็นเวลานาน หลายร้อยปีมาแล้วเดิมผีตาโขน มีชื่อเรียกว่า ผีตามคน เป็นเทศกาลที่ได้รับอิทธิพลมาจาก มหาเวชสันดร ชาดกในทางพระพุทธศาสนา ที่กล่าวถึง พระเวชสันดร และ พระนางมัทรี จะออกเดินทางจากป่าสู่เมืองหลวง เหล่าบรรดาสัตว์นานาชนิดป่ารวมไปถึงภูตผีปิศาจหลายตนที่อาศัยอยู่ในป่าแห่ง นั้น จึงได้ออกมาส่งเสด็จโดยแห่แหนแฝงตัวตน มากับชาวบ้าน ด้วยความอาลัยรัก
การละเล่นผีตาโขน
ผีตาโขน จัดได้ว่าเป็นการละเล่นชนิดหนึ่ง โดยที่ผู้เล่นจะทำรูปหน้ากาก ที่มีลักษณะหน้าเกลียดน่ากลัว มาสวมใส่ปกปิดใบหน้า รวมไปถึงเครื่องแต่งกายที่ต้องปกปิดมิดชิดเช่นกัน แล้วเข้าขบวนแห่แสดงท่าทางต่างๆ ในงานบุญตามประเพณีประจำปีของท้องถิ่นพื้นบ้าน การละเล่นผีตาโขนจะมีในเดือนแปดข้างขึ้น และนิยมทำ 3 วัน คือ
วันแรก เป็นวันที่ชาวบ้านจะร่วมกันสร้างหออุปคุตและทำกระทงเล็กไปวางตามิศต่างๆจำนวนสี่ทิศด้วยกัน บนหอหลวงจะมีร่มขนาดใหญ่กางกั้นไว้ ถือเป็นวันแรกของการทำพิธีวันที่สอง เป็นวันทำพิธีอัญเชิญพระอุปคุต โดยจะมีประชาชนจากตำบลหมูบ้านต่างๆ มาร่วมงานส่วนมากจะนำบั้งไฟมาด้วยสำหรับการละเล่นต่างๆ ในวันนี้จะมีขบวนแห่ผีตาโขนและมีการบรรเลงเครื่องดนตรีพื้นเมืองอย่าง ครื้นเครงตลอดเส้นทาง ซึ่งจะทำพิธีแห่ไปยังวัดเพื่อทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ระหว่างขบวนแห่ก็จะมีบรรดาผีตาโขนทั้งหลายออกมาร่ายรำ ทำท่าทางต่างๆ อย่างสนุกสนานวันที่สาม จะเป็นวันที่ชาวบ้านไปทำบุญตักบาตรที่วัด ร่วมกันฟังเทศน์มหาชาติ พระเวสสันดรชาดก และในวันนี้จะไม่มีการละเล่นผีตาโขน แต่จะมีพิธีกรรมทางศาสนา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว รวมไปถึงสักการะสิ่งศักสิทธิ์ในวัดหรือในพระธาตุ
ประเภทผีตาโขน
ผีตาโขนจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
ผีตาโขนใหญ่ จะมีลักษณะเป็นหุ่นที่จำลองขึ้นมาจากโครงไม้ไผ่สาน ห่อคลุมด้วยผ้าหรือกระดาษ ซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่าคนธรรมดาประมาณสองเท่า ผีตาโขนใหญ่จะถูกตกแต่งไปด้วยวัสดุที่หาได้จากท้องถิ่นที่แสดงถึงรูปร่างเพศ ชายและหญิง มีการประดับอวัยวะเพศที่บ่งบอกถึงความเป็นชายและหญิงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าอวัยวะเพศของมนุษย์จะแสดงถึง ความอุดมสมสมบูรณ์ ไม่ใช่ความพิเรนหรือทะลึ่งของผู้ที่มาร่วมเล่นแต่อย่างใด และประเพณีผีตาโขนในแต่ละปีจะมีการจัดทำผีตาโขนใหญ่เพื่อร่ามขบวนเพียง 1 คู่เท่านั้น ผู้มีหน้าที่เป็นผีตาโขนใหญ่จะต้องได้รับการอนุญาติจากผีหรือเจ้าก่อนและจะ ต้องทำทุกปีหรือทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปี
ผีตาโขนเล็ก คือการละเล่นของชาวบ้านไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง ก็มีสิทธิ์เข้าร่วมสนุกสนานได้ การแต่งกายก็แต่งเช่นเดียวกับผีตาโขนใหญ่แต่โดยมากจะมีผู้ชาย ไม่ค่อยมีผู้หญิงเข้าร่วมเพราะเป็นละเล่นที่ผาดโผนและซุกซน
ประเพณีไหลเรือไฟกับความเชื่อภาคอีสาน
ประเพณีไหลเรือไฟ เป็นประเพณีที่จัดขึ้นทั่วไปในหลายจังหวัดทางภาคอีสานที่อยู่ติดกับลำน้ำ โดยมีความเชื่อ ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่สืบกันมาหลายชั่วอายุคน แต่การเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อใดนั้น ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง แต่นิษฐานว่าน่าจะมีมาก่อนที่พระพุทธศาสนา จะเผยแพร่มาสู่ประเทศไทย เนื่องจากสมัยก่อนพระมหากษัตริย์ไทยยังยืดถือพิธีพราหมณ์อยู่
ำหรับจังหวัดต่างๆ ที่มีการจัดประเพณีไหลเรือไฟ เช่น จังหวัดศรีษะเกษ จังหวัดเลย จังหวัดนครพนม จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี และอื่นๆ มักจะมีพิธีกรรมที่คล้ายคลึงกัน ส่วนมูลเหตุของความเชื่อนั้นมีด้วยกันหลายประการ เช่น
ชื่อว่าเป็นการบูชาประทีปตามประเพณี
จะก่อให้เกิดอานิสงส์แก่ผู้กระทำคือ การได้ถวายพุทธบูชาด้วยประทีปโคมไฟ จะทำให้เป็นผู้มีตาทิพย์ รู้แจ้งและเกิดปัญญา สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ชื่อว่าเป็นการบูชาพญานาค
ซึ่งเป็นผู้ดูแลรักษาแม่น้ำ และช่วยคุ้มครองคนที่สัญจรทางน้ำให้มีความปลอดภัยเ
ชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท
จากตำนานได้กล่าวมาว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดเหล่าพญานาคที่ภพนาค ก่อนเสด็จกลับ เหล่าพญานาคได้ขอให้พระพุทธองค์ทรงประทับรอยพระบาทไว้สักการะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำ
เชื่อว่าเป็นการบูชาพระแม่โพสพ
บูชาพระแม่คงคาที่ประทานความอุดมสมบูรณ์ ให้แก่เหล่ามนุษย์
เชื่อว่าเป็นการบูชา วันพระเจ้าเปิดโลก
ซึ่งได้ถูกกล่าว ไว้ในธรรมบทว่า วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จกลับไปชั้นดาวดึงส์ หลังจากสิ้นสุดการโปรดพุทธมารดา มีความเชื่อกันว่าวันนั้น สวรรค์ภูมิ มนุษย์ภูมิ นรกภูมิ จะเปิดให้เห็นกันทั่ว จึงได้เกิดประเพณีไหลเรือไฟเป็นพุทธบูชาก่อน 1 วัน ซึ่งตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
ชื่อว่าเป็นการเสดาะเคราะห์
ประเพณีไหลเรือไฟยังมีความเชื่อสืบทอดกันมาอย่างยาวนานว่าเป็นการทำให้เคราะห์กรรมต่างๆ ลอยไหลไปกับสายน้ำ เหลือแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต
การทำเรือสำหรับประกอบพิธีไหลเรือไฟ
เรือไฟที่ใช้ในการประกอบพิธีนั้น มักประดิษฐ์มาจากต้นกล้วย หรือไม้ไผ่ต่อกันเป็นแพเรือยาว โดยสานไม่ไผ่เป็นโครงก่อน ส่วนรูปร่างนั้นทางช่างผู้ชำนาญจะเป็นผู้ออกแบบ ด้านนอกของเรือ จะมีดอกไม้ ธูปเทียน ตะเกียง และใต้สำหรับจุดให้เกิดความสว่างไสวเพื่อเป็นพุทธบูชา ส่วนภายในเรือจะบรรจุไปด้วยขนม ข้าวต้มมัด กล้วย อ้อย หมาก พลู บุหรี่ และเครื่องไทยทานต่างๆสำหรับพิธีกรรมไหลเรือไฟที่ถือปฏิบัติกันมานั้น ประกอบไปด้วย การไปทำบุญตักบาตรในตอนเช้า มีการถวายภัตตาหารเพลและเลี้ยงข้าวปลาอาหารแก่ญาติโยม พอถึงช่วงบ่ายก็จะมีการละเล่นต่างๆ เพื่อความสนุกสนาน เช่น การรำวงฉลองเรือไฟ จากนั้นตอนพลบค่ำก็จะนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีสวดมนต์ และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เมื่อถึงเวลาประมาณ 19-20 น. จะพิธีจุดไฟในลำเรือและปล่อยให้ล่องลอยไปตามแม่น้ำโขง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
ประเพณีแห่นางแมว
เมื่อให้นึกถึงประเพณีที่มีสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้อง มีมาช้านานและเป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศคงเป็นประเพณีอื่นไปไม่ได้นอกจาก
ประเพณีแห่นางแมว
ที่ นิยมจัดขึ้นในปีที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูการหรือฝนแล้ง เพื่ออ้อนวอนขอให้ฝนตกลงมาสร้างความชุ่มชื่นแก่แผ่นดินและพื้นที่ทำสวนทำไร่ ของทุกคน
ประวัติความเป็นมาและความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีแห่นางแมว
เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม การทำเลือกสวนนาไร่จำเป็นต้องอาศัยน้ำจำนวนมาก ดังนั้นหากวันหนึ่งฝนที่เคยตกต้องตามฤดูกาลไม่ตกเช่นเคยย่อมสร้างความเดือน ร้อนให้กับชาวนาชาวไร่ทั่วไป เพราะฉะนั้นเพื่อให้ฝนตกลงมาจะได้มีน้ำเพียงพอในการทำการเกษตรกรรมจึงต้องทำ พิธี “แห่นางแมว” ขึ้น
สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีแห่นางแมวนั้น คนไทยมีความเชื่อว่าฝนตกลงมาเพราะเทวดา เมื่อฝนไม่ตกจึงต้องทำพิธีขอฝนกับเทวดา แต่บางความเชื่อกล่าวว่าเมื่อแผ่นดินแห้งแล้ง สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ มีควันและละอองเขม่าควันจะต้องขอน้ำจากเทวดามาช่วยล้างเพราะน้ำฝนเป็นน้ำของ เทวดา เนื่องจาก
เทโว
แปลว่า
ฝน
นั่นเอง
ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับแมวนั้น คนไทยเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่มีอำนาจลึกลับ ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนำมาทำพิธีแล้วจะช่วยเรียกฝนให้ตกลงมาได้ หรือถ้าเป็นความเชื่อของชาวอีสานจะมีความเชื่อว่าเมื่อฝนไม่ตกให้ใช้สัตว์ ที่มีสีเดียวกับเมฆเรียกฝน จะทำให้ฝนตกลงมาได้เช่นกันและสัตว์ประเภทเดียวที่มีสีเมฆคือ
แมวสีสวาท
การทำพิธีแห่นางแมว
ช่วงเวลาในการทำพิธีแห่นางแมวนั้นจะจัดขึ้นเมื่อฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลและมี ความแห้งแล้งมากจริง ๆ ซึ่งการทำพิธีนั้นต้องมีขบวนแห่ ผู้หญิงที่เข้าร่วมพิธีแห่ต้องผัดหน้าขาว ทัดดอกไม้ดอกโต ๆ ร่วมกันร้องรำทำเพลงที่สนุกสนานเฮฮา
วิธีการแห่นางแมว
การแห่นางแมวนั้นจะให้คนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน แต่งตัวสวยงาม เมื่อได้เวลาพลบค่ำก็เริ่มขบวนแห่ โดยก่อนการแห่ต้องให้ผู้เฒ่าพูดกับแมวขณะเอาลงกะทอว่า
นางแมวเอย
…ขอฟ้าขอฝน ให้ตกลงมาด้วยนะ
จากนั้นจึงเดินขบวนไปรอบ ๆ หมู่บ้านเพื่อให้เจ้าของบ้านทุกบ้านสาดน้ำให้แมวร้อง เพราะเมื่อแมวร้องแล้วฝนจะตกลงมา
ในขณะเดินแห่นั้นต้องให้ผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวคำเซิ้งไปด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วคำเซิ้งของแต่ละพื้นที่มักไม่ค่อยเหมือนกัน แต่สามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่าต้องการขอให้ฝนตกนั่นเอง…
ประเพณีข้าวสาก
งานบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก (สลากภัต) คือ การทำบุญอุทิศส่วนกุสลไปให้กับเปรต ซึ่งงานบุญข้าวสากกับงานบุญข้าวประดับดินในเดือน ๙ จะมีความคล้ายคลึงกัน นั่นคือ เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตและผู้ล่วงลับไปแล้วมูลเหตุของการเกิดงานบุญข้าวสาก สืบเนื่องมาจากในสมัยพุทธกาล มีชายหนุ่มผู้หนึ่งอาศัยอยู่กับมารดา ส่วนบิดาเสียชีวิตแล้ว เมื่อถึงวัยที่ต้องแต่งงาน มารดาจึงหาผู้หญิงมาให้ชายหนุ่มจึงแต่งงานกับหญิงสาวผู้นั้น แต่อยู่กันมานานก้ไม่มีบุตรสักที มารดาจึงหาภารยาให้ใหม่ พออยู่กินมาไม่นานภารยาน้อยก็ตั้งครรภ์ ภารยาหลวงเกิดอิจฉาจึงคิดวางแผนบอกกับภรรนาน้อยว่าถ้าตั้งครรภ์ภรรยาน้อย ต้องบอกนางเป็นคนแรกเมื่อภรรยาน้อยตั้งครรภ์ นางจึงบอกกับภรรยาหลวง ภรรยาหลวงจึงนำยาที่ทำให้แท้งให้ภรรยาน้อยกิน พอภรรยาน้อยตั้งครรภ์ครั้งที่สองภรรยาหลวงก็นำยาแท้งให้กินอีกพอครั้งที่สาม ภรรยาน้อยไม่บอกภรรยาหลวงแต่หนีไปอาศัยอยู่กับญาติ ภรรยาหลวงจึงตามไปแล้วให้ยากินอีก แต่คราวนี้ไม่แท้งเพราะครรภ์แก่แล้ว แต่ลูกในท้องนอนขวางทำให้บีบหัวใจจนตาย ก่อนที่ภรรยาน้อยจะตายนางได้จองเวรกับภรรยาหลวงว่า ชาติหน้าของให้นางได้เกิดเป็นยักษิณีและให้ได้กินภรรยาหลวงและลูกของภรรยา หลวงชาติต่อมาภรรยาน้อยได้เกิดเป็นแมว ส่วนภรรยาหลวงถูกสามีฆ่าตายแล้วเกิดเป็นไก่ และอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับแมว ครั้นไก่ถูกออกไข่มาก็ถูกแมวกินถึง 3 ครั้ง ก่อนแม่ไก่ตาย แม่ไก่พูดอาฆาตแมวว่า ในชาติหน้าขอให้ได้กินแม่แมวและลูกแมว
ชาติต่อมาแม่ไก่ได้เกิดเป็นเสือเหลือง แมวไปเกิดเป็นนางเนื้อ พอนางเนื้อตกลูก เสือเหลืองก็ไปกินลูกนางถึง 3 ครั้ง ก่อนนางเนื้อตายได้ผูกอาฆาตกับเสือเหลืองว่า ชาติหน้าขอให้ได้กินเสือเหลืองและลูกเสือเหลืองชาติต่อมานางเนื้อไได้เกิดเป็นยักษิณี เสือเกิดเ็นนางกุลธิดาในเมืองสาวัตถึ ครั้นเจริญเติบโตก็แต่งงานกับชายหนุ่มพอมีลูกก็ถูกนางยักษิณีโขมยลูกไปกิน ถึง 2 ครั้ง ส่วนครั้งที่ 3 นางกุลธิดาและสามีพร้อมลูกวิ่งหนีไปยังวัดเชตวันมหาวิหารซึ้งขณะนั้น พระพุทธเจ้ากำลังเทศนาอยู่ สองมีภรรยาจึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้า ส่วนนางยักษิณีอยู่หน้าวัด พระพุทธเจ้าจึงให้พระอานนท์ไปเรียกนางยักษิณีเข้ามาและเล่าภูมิหลังของทั้ง สามให้ฟัง พระพุทธเจ้าทรงให้นางกุลธิดานำนางยักษิณีไปเลี้ยง นางกุลธิดาจึงให้นางยักษิณีไปอยู่ท้ายทุ้งนา นางยักษิณีเป็นผู้ยั่งรู้ฟ้าฝน ปีใดฝนจะแล้งหรือน้ำท่วมนางก็บอกกับนางกุลธิดาทุกครั้ง ทำให้ข้าวในนาของนางกุลธิดาได้ผลดี ต่อมาชาวบ้านรู้ข่าวก็พร้อมใจกันไปถามเกณฑ์ขอฝนฟ้า ทำใช้ชาวนาของชาวบ้านได้ผลดี ชาวบ้านจึงนำอาหารไปให้กับยักษิณีเป็นการตอบแทน
สำหรับบุญข้าวสากในปัจจุบัน จะกระทำในวันขึ้น 15 ค้ำ เดือน 10 โดยชาวบ้านจะนำอาหารคาวหวานใส่บาตรพอถึงตอนเพลชาวบ้านจะจัดสำรับกับข้าวและ เครื่องไทยทาน นำไปถวายพระโดยเขียนสลากบอกชื่อเจ้าของสำหรับแล้วใส่ลงบาตร และนิมนต์ให้พระสงฆ์และสามเณรรูปใดจับสลากเป็นชื่อของใครคนนั้นก็จะนำสำรับ กับข้าวไปถวายพระสงฆ์หรือสามเณรรูปนั้น”
งานประเพณีตีช้างนํ้านอง มุกดาหาร
สายน้ำโขงสีขุ่นที่ไหลเรื่อย ช่วงเริ่มต้นแห่งฤดูฝน ระดับสูงขึ้นใกล้เต็มตะลิ่ง ใกล้เวลาที่ชาวบ้านสองฝั่งโขงจะมาร่วมใจ ลงแรก ช่วยลุ้น ผลัดกันส่งเสียงร้องให้กำลังใจเหล่าฝีมืพายจากที่ต่างๆ ที่มาพร้อมกันเพื่อช่วยชิงชัยจ้าวแห่งสายน้ำ ณ เมืองมุกดาหาร ซึ้งมีเอกลักษณ์ของพิธีการ ไม่เหมือนใครจนกลายเป็น
ประเพณีของไทย
ที่ ปฎิบัติสืบต่อกันมาทุกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มการแข่งขัน คือ ประเพณีการตีช้างน้ำนอง ในการแข่งขันประเพณีออกพรรษาไทย-ลาว (มุกดาหาร-สะหวั่นนะเขต)เริ่มต้นเอาฤกษ์เอาชัย ขบวนเรือที่เข้าแข่งขันต่างมารวมตัวพร้อมกัน ณ ท่าน้ำ ขบวนเรือพายเรือล่องตามลำน้ำโขง ทุกฝีพายต่างโห่ร้อง ตกลอง เคาะเกราะ เกิดเป็นจังหวะที่ขึงขัง เพื่อประกอบพิธีสักการะพระแม่คงคา เทวดา พญานาค บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองทั้งทางบกและทางน้ำจากช่วงจังหวะที่ไม้พายจ้วงลงในพื้นน้ำ เมื่อยกขึ้น สายน้ำก็สาดกระเซ็นเกิดเป็นละออง ราวกลับโขลงใหญ่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน และเกิดระลอกคลื่นซัดเข้ากระทบฝั่งอย่างต่อเนื่อง จนมีเสียงดังจนคล้ายเสียงช้างร้อง ด้วยเหตุนี้คนโบราณจึงเรียกพิธีนี้ว่า “พิธีตีช้างน้ำนอง” เรื่อยมาเข้าถึงช่วงการแข่งขัน เรือแห่งอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วยพิธีอัญเชิญถ้วยพระราชทานเครื่องเกียรติยศนำหน้าขวบน คลอเคล้าด้วยเสียงโห่ร้องของเหล่าฝีพายที่ดังสนั่นก้องท้องลำน้ำโขง นับเป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้สายตาทุกคู่ถูกมนต์สะกดให้จับจอง อยู่ที่พิธีกรรมที่เกิดจากความร่วมใจของขาวมุกดาหาร ที่ยังคงสานต่องาน
ประเพณีไทย
อันทรงคุณค่านี้สืบไป