ประเพณีและวัฒนธรรมไทย
ผู้จัดทำ
ประเพณีและวัฒนธรรมไทย
ประเพณีไทย ภาคเหนือ
ประเพณีไทย ภาคอีสาน
ประเพณีไทย ภาคกลาง
ประเพณีภาคใต้
ประเพณีแต่ละภาค ยูทูป
ประเพณีตักบาทเทโว
“ขึ้นแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกำหนดเวียนมาบรรจบ ณ วัดสังกัตรัตนคีรี ประเพณีตักบาตรเทโว พระสงฆ์หลายร้อยรูปเดินลงจากยอดเขา ผ่านบันได ๔๔๙ ขั้นสู่เบื้องล่าง ที่ยังเนืองแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชนเรือนหมื่น ที่ยังคงยึดมั่นในวิถีปฏิบัติดั้งเดิม อันสะท้อนภาพแรงศรัทธาที่สุกสว่าง ภายในจิตใจของทุกคน”
อุทัยธานี ชุมชนลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง เมืองเล็กๆ ที่อบอุ่น และมากด้วยไมตรีจิต ที่พร้อมมอบให้แก่คนต่างถิ่น และรอให้เข้ามาสัมผัส วัฒนธรรม ประเพณีไทยที่ยังคงเอกลักษณ์ และห่างไกลสิ่งเจือปนจากภายนอก บางคนมักจะละเลยผ่านไป แต่ลองหยุดแวะพัก ค่อยๆ ปล่อยชีวิตให้เดินช้าลง คุณจะหลงรักเมืองแห่งนี้ได้ไม่ยาก
ณ บริเวณศูนย์กลางของเมือง ยอดเขาสะแกกรังยังคงเป็นสถานที่ศักสิทธิ์ ที่มีความเชื่อมาแต่โบราณกาลว่าเป็นที่ตั้งของซากโบราณสถาน ซึ่งเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐ พระปลัดใจ เจ้าอาวาสวัดทุ่งแก้ว และชาวอุทัยธานีได้ลงแรงช่วยกันสร้างมณฑปสิริมหามายากุฎาคาร พร้อมก่อสร้างวัดสังกัตรัตนคีรีมงคลประไพอุทัยเขตร์ขึ้น จนกลายเป็นศูนย์รวมศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ชาวอุทัยธานีและชาวไทยเรื่อยมา
จากนั้นในช่วงวันออกพรรษาของทุกปี ช่วงค่ำก่อนวันออกพรรษา ภาพการแสดง แสง สี เสียง จำลองเรื่องราวพุทธประวัติครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลกจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ และเป็นวันสิ้นสุดระยะการจำพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือน หรือเรียกว่า “วันมหาปวารณา”
ประเพณี
ตักบาตรเทโวโรหณะ พระสงฆ์หลายร้อยรูปพร้อมเพรียงเดินลงจากยอดเขาสะแกกรัง 449 ชั้น เป็นสายยาวท่ามกลางฉากหลังคือบันไดที่อยู่ระหว่างกลางภูเขา ตัดกับขอบฟ้าสีคราม ดูเสมือนหนึ่งพระสงฆ์กำลังลงมาจากยอดเขาดาวดึงส์ ผู้คนเบื้องล่างตระเตรียมข้าวสารอาหารแห้งมารอใส่บาตรพระสงฆ์ จนเป็นภาพที่จดจำ ทั้งยังช่วยสร้างศรัทธาและสืบสานให้พระพุทธศาสนาคงอยู่สืบไป
- วันเวลาการจัดงาน :
เทศกาลออกพรรษา วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี
- สถานที่จัดงาน :
วัดสังกัตรัตนคีรี อำเภอเมืองอุทัยธานี
ประเพณีตักบาตรดอกไม้
“น้อมนมัสการรอยพระพุทธบาท ร่วมทำบุญตักบาตรตามวิถีปฏิบัติ ในงานประเพณีตักบาตรดอกไม้ เนื่องในเทศกาลวันเข้าพรรษา ตลอดช่วงเช้าและช่วงบ่ายพระสงหลายร้อยรูป บิณฑบาตเหล่าดอกเข้าพรรษาสีเหลือง ขาว และน้ำเงินม่วง ซึ่งจะเบ่งบานในช่วงวันเข้าพรรษา ที่พุทธศาสนิกชนหลายหมื่นแสนต่างพร้อมใจนำมาถวายด้วยศรัทธาอันแรงกล้า เรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน”
ดอกเข้าพรรษากำลังเบ่งบานอยู่รายรอบภูเขา บริเวณใกล้กับวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร นับเป็นสัญญาณที่บอกให้ทราบว่าใกล้ถึงช่วงวันเข้าพรรษา แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ แล้ว ซึ่งนับว่าเป็นวาระมงคลที่พุทธศาสนิกชน จะมาพร้อมกันเพื่อถวายดอกเข้าพรรษาแก่พระภิกษุสงฆ์ เพื่อนำไปสักการะแด่พระเจดีย์จุฬามณี ตามความเชื่อดั้งเดิม
ที่มาของการตักบาตรดอกไม้ ผูกโยงกับพุทธตำนานว่า ครั้งพุทธกาลพระเจ้าพิมพิสาร จะรับสั่งให้นายมาลากรนำดอกมะลิเข้าถวายวันละ ๘ กำมือ อยู่มาวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้ทรงออกบิณฑบาตพร้อมภิกษุสงฆ์จำนวนหนึ่ง นายมาลากรได้เห็นพรรณรังสีฉายประกายรอบพระวรกาย จึงเกิดความเลื่อมใสและนำดอกมะลิถวายแด่พระพุทธเจ้าทั้งหมด พร้อมตั้งจิตอธิษฐานว่า “ข้าวของทุกชิ้นที่พระเจ้าพิมพิสารมอบให้เพียงเพื่อยังชีพในภพนี้เท่านั้น แต่การนำดอกไม้บูชาแด่พุทธองค์ สร้างอานิสงส์ได้ทั้งภพนี้และภพหน้า หากถูกประหารเพราะไม่ได้ถวายดอกมะลิก็ยิมยอม” แต่เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทราบเรื่องก็ทรงเห็นด้วย ปูนบำเหน็จแก่นายมาลากร และนายมาลากรก็อยู่อย่างมีความสุขตลอดมา
จากความเชื่อกลายเป็นวิถีปฏิบัติของชาวพุทธศาสนิกชนชาวอำเภอพระพุทธบาท ที่ต่างเก็บดอกเข้าพรรษา ทั้งสีขาว เหลือง และม่วง มาใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์ เพื่อนำขึ้นไปสักการะพระเจดีย์ที่บรรจุพระเขี้ยวแก้ว และสักการะพระเจดีย์มหาธาตุองค์ใหญ่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สุดท้ายนำเข้าโบสถ์ประกอบพิธีสวดเข้าพรรษา ซึ่งหลังจากเสร็จพิธี พระสงฆ์จะเดินกลับลงมา โดยพุทธศาสนิกชนต่างพร้อมชำระล้างเท้าของพระสงฆ์ด้วยน้ำสะอาดเพื่อเป็นการ ชำระล้างบาปของตนเองด้วย
ประเพณี
ทางพระพุทธศาสนาที่เต็มไปด้วยภาพความงดงามของทุก ท่วงท่า รายละเอียดของทุกแง่มุมที่ล้วนมีความหมาย และไม่ยากที่สักครั้งคุณจะเป็นคนหนึ่งที่ได้เข้ามาสัมผัส และร่วมดำเนินพิธีกรรม เข้าถึงงานประเพณี ร่วมถ่ายทอดเอกลักษณ์เหล่านี้ให้คงอยู่ บอกกล่าวเล่าต่อว่า การสร้างบุญกุศลที่แรงกล้านั้นเกิดจากศรัทธา และความดีที่เกิดจากตัวคุณเอง
– วันเวลาการจัดงาน :
วันเข้าพรรษา แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ของทุกปี
– สถานที่จัดงาน :
วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
ประเพณีทอดกฐิน
ประเพณีทอดกฐินจะทำในช่วงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน เกี๋ยงเหนือหรือเดือนตุลาคม ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่เหนือ หรือเดือนพฤศจิกายน สมัยโบราณชาวล้านนาไม่นิยมทอดกฐินเนื่องจากว่าจะต้องใช้ปัจจัย (เงิน) ค่อนข้างมาก ผู้ที่จะถวายกฐินได้จะต้องมีฐานะดีและมีความตั้งใจจริง
เมื่อผู้ใดมีความประสงค์จะถวายกฐิน จะต้องจองกฐินที่วัด และบอกแก่ชาวบ้านให้ทราบโดยทั่วกัน เมื่อถึงวันทอดกฐินก็จะมีการแห่กฐินมาทอดที่วัด และในบางวัดจะมีมหรสพในตอนกลางคืนด้วย
ประเพณีรับบัว
ประเพณีประเพณีรับบัว
เป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ จัดขึ้นทุกวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑
มูลเหตุของการเกิดประเพณีรับบัวก็เนื่องมาจากว่า แต่เดิมในอำเภอบางพลีจะมีประชากร
อาศัยอยู่ ๓ กลุ่ม
คือ คนไทย คนรามัญ และคนลาว ต่อมาคนไทยทั้ง ๓ กลุ่ม ได้ตกลงกันว่าจะช่วยกันถากถางพงหญ้าให้เป็นพื้นที่ทำไร่ทำนา จนกระทั่งคนไทยทั้ง ๓ กลุ่มได้ถางหญ้ามาถึง ๓ แยก ทุกคนตกลงกันว่าจะแยกไปคนละทาง โดยคนลาวไปทางคลองสลุด คนไทยไปทางคลองชวดลากหญ้า คนรามัญไปทางคลองลาดกระบัง
๒-๓ ปีต่อมา กลุ่มรามัญที่ย้ายไปอยู่ทางคลองลาดกระบังโดยหนูและนกทำลายพืชผลทางการเกษตร จึงต้องย้ายกลับมาอยู่ถิ่นฐานเดิมคือที่ปากลัด (พระประแดง) โดยเริมออกเดินทางในตอนเช้ามืดของวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ แต่ก่อนออกเดินทางพวกรามัญได้เก็บดอกบัวเพื่อนำไปบูชาพระคาถาพัน (เทศน์มหาชาติ) ที่ปากลัด และได้สั่งเสียพวกคนไทยบางคนที่ยังคงอาศัยอยู่ ณ คลองลาดกระบัง ว่าในปีต่อไปถ้าถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ให้ช่วยเก็บดอกบัวและรวบรวมไว้ที่วัดหลวงพ่อโตแล้วพวกตนจะมารับ
ครั้นถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ คนไทยก็ได้เก็บดอกบัวและไปรวมไว้ที่วัดบางพลีใหญ่หรือวัดหลวงพ่อโตตามคำร้อง ขอของชาวรามัญ การมาของชาวรามัญจะมาโดยเรือถึงประมาณตี ๓-๔ และทุกครั้งที่มาจะมีการร้องเพลงกันอย่างสนุกสนานส่วนผู้ที่มาคอยรับก็พลอย สนุกสนานไปด้วย
“พิธีกรรมของประเพณีรับบัวจะเริ่มต้นในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ โดยในตอนเย็นชาวพระประแดงและเพื่อนบ้านใกล้เคียง จะลงเรือและร่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาบ้าง ตามคลองสำโรงบ้าง แต่ทุกคนจะมีจุดหมายเดียวกันคือไปที่หมู่บ้านบางพลี โดยในเรือที่ร่องกันมานั่นจะมีเครื่องดนตรีนานาชนิด เช่น ปี่ ซอ แง แบ กรับ และกลอง เป็นต้น และทุกคนจะร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน ส่วนชาวบางพลีก็จะเตรียมดอกบัวและอาหารไว้ต้อนรับแขกผู้มาเยือน”
พอเช้าตรูของวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ชาวบ้านจากต่างถิ่น เช่น ชาวพระประแดง และเพื่อนบ้านใกล้เคียงจะพายเรือเพื่อรับบัวจากชาวบางพลี แต่ก่อนที่ชาวบางพลีจะส่งบัวให้นั้น จะยกมือพนมและอธิษฐาน ส่วนผู้รับก็จะพนมมือและรับบัวอย่างสุภาพ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า “
การรับบัว
”
ประเพณีไทยรับบัว
ประเพณีลอยกระทง
ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ของทุกปี หรือที่เรียกกันติดปากว่า “วันเพ็ญเดือน ๑๒” นั่นเอง ซึ่งเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง และเป็นช่วงที่น้ำหลากเต็มตลิ่ง แต่เดิมเรียกประเพณีลอยกระทงว่า พระราชพิธีจองเปรียงชักโคม ซึ่งเป็นพิธีของพราหมณ์ ประเพณีลอยกระทงของไทย มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีป หรือลอยโคม ประเพณีลอยกระทงนี้กระทำขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่ คงคา ปัจจุบันประเพณีลอยกระทงของไทยถูกจัดขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแหล่งน้ำ
ในวันลอยกระทง ประชาชนจะพากันประดิษฐ์ “กระทง” จากวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น ก้านกล้วย ดอกไม้ ใบไม้ ให้เป็นรูปทรงคล้ายดอกบัวบาน แต่ปัจจุบันมีการประดิษฐ์กระทงหลายรูปแบบมาก โดยส่วนใหญ่จะเน้นรูปทรงที่สวยงาม เมื่อประดิษฐ์กระทงเสร็จแล้วก็จะทำการปักธูป เทียน ชาวบ้านบางแห่งจะนิยมตัดเล็บ ตัดผม หรือใส่เงินลงไปในกระทงด้วย แล้วนำไปลอยในแหล่งน้ำ (ในบริเวณพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเลด้วยเช่นกัน) เชื่อว่าการทำแบบนี้จะเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพร้อมทั้งขอขมาพระแม่คงคาอีกด้วย
ประเพณีตักบาตรพระร้อย
คือ การทำบุญตักบาตรประจำปีของวัดไทยเจริญ จังหวัดนนทบุรี “เมื่อครั้งสมัยโบราณกาล วัดไทยเจริญยังไม่มีพระพุทธรูป เจ้าอาวาสจึงได้บอกบุญให้ชาวบ้านนำทองเหลืองมาบริจาคเพื่อหล่อเป็นองค์พระ เมื่อได้แผ่นทองเหลืองแล้วก็นิมนต์พระเกจิอาจารย์ จำนวน ๑๐๘ รูป สวดปลุก
เสกและจารึกอักขระอาคมลงในแผ่นทองเหลือง แล้วจึงนำแผ่นทองเหลืองนั้นมาหลอมเป็นองค์พระ และตั้งชื่อว่า “
พระพุทธอาคม
”
ครั้นพระพุทธอาคมได้สร้างเสร็จซึ่งตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ พ.ศ. ๒๔๖๖ ทางวัดและชาวบ้านจึงได้จัดงานฉลองและทำบุญตักบาตร เรียกว่า วันทำบุญตักบาตรพระร้อยแปด เหตุผลที่เรียกว่าวันทำบุญตักบาตรพระร้อยแปด ก็เนื่องมาจากจำนวนพระเกจิอาจารย์ทั้ง ๑๐๘ องค์ ที่มาปลุกเสกและจารึกอักขระอาคมลงในแผ่นทองเหลืองพิธีกรรมของการทำบุญตักบาตรพระร้อยนี้จะเริ่มตั้งแต่วันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ โดยมีการแห่หลวงพ่อพุทธอาคมไปตามลำคลองหน้าวัดไทยเจริญ และนำกลับมาให้ประชาชนได้นมัสก
ารปิดทองที่วัด ส่วนในวันแรม ๘ ค่ะ เดือน ๑๒ ก็จะมีการทำบุญตักบาตร
ประเพณีตรุษจีนปากนํ้าโพ
“ภูเขาตั้งตระหง่านกลางเมือง แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน รวมเป็นเจ้าพระยาสายใหญ่พาดผ่าน ชุมชนภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม ได้เกิดการรวมตัวของกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเล ที่ตั้งรกราก ลงหลักพักอาศัย พร้อมนำวิถี วัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมมาปฏิบัติ ชวนให้เข้าไปสู่ห้วงมนต์เสน่ห์สีสันแห่งงาน ตรุษจีนปากน้ำโพ”แหล่งชุมชนชาวจีนเก่าแก่ที่สานต่อวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของบรรพบุรุษ ซึ่งยังคงเคารพนับถือ เจ้าพ่อเทพารักษ์ – เจ้าพ่อกวนอู – เจ้าแม่ทับทิม – เจ้าแม่สวรรค์ โดยตั้งศาลขึ้น ๒ ศาล คือ ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทิศตะวันออกของตลาดปากน้ำโพ และศาลเจ้าแม่หน้าผา ริมฝั่งแม่น้ำปิงทางเหนือของตลาดปากน้ำโพ
จากอดีตนั้นมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ตลาดปากน้ำโพได้เกิดโรคอหิวาตกโรคระบาดผู้คนล้มตาย ชาวจีนปากน้ำโพได้นำเอา “กระดาษฮู้” (กระดาษยันต์) ของศาลเจ้ามาเผา ได้เป็นเถ้าจึงนำมาผสมน้ำดื่มจนหายจากโรคร้าย และเป็นที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธ์ ตั้งแต่นั้นมา ประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีการแห่องค์เจ้าพ่อ – เจ้าแม่ไปรอบเมือง พร้อมด้วยขบวนการแสดงทางวัฒนธรรม อาทิ สิงโต เอ็งกอ ล่อโก้ว มังกรทอง องค์สมมุติเจ้าแม่กวนอิม รวมทั้งการแสดง แสง สี เสียง บอกเล่าตำนานความเชื่อของชาวปากน้ำโพอย่างยิ่งใหญ่ชาวนครสวรรค์ ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ ต่างพร้อมใจกันเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีอันยิ่งใหญ่ เด็กๆ ต่างเข้าร่วมสมาคม ชมรมการแสดง ฝึกซ้อมท่วงท่าร่ายรำให้พร้อมเพรียงสำหรับการแสดง ตลอดสองฝั่งถนนในตัวเมือง ชาวไทยเชื้อสายจีนต่างตั้งเครื่องเซ่นไหว้ บูชาบรรพบุรุษ คณะเอ็งกอกระชับไม้กระบองสองข้างไว้แน่น ทุกก้าว ทุกจังหวะดูเข้มแข็ง เด็กหญิงตัวเล็กมือถือถ้วยและตะเกียบไว้ในมือน้อยๆ เสียงกระทบถ้วยช้าๆ สอดรับดนตรีเพลงจีนเบาๆ เหล่าสิงโต เสือ เคลื่อนไหว เล่นสนุก ปีนป่ายบนเสาดอกเหมยด้วยความสง่างามเสียงประทัดจีนดังก้องกังวานเมื่อมังกรทองวาดลวดลายพลิ้วไหวดั่งล่องลอย จากความร่วมแรงของคนนับร้อยที่ต้องผลัดเปลี่ยนเวียนตำแหน่ง เพื่อให้มังกรทองโบยบินราวมีชีวิต ไปจนถึงยามเย็นแสงสีสันของโคมไฟที่ประดับอยู่ทั่วเมือง คณะงิ้วสื่อสำเนียงออกลีลาชวนติดตามเรื่องราว ปิดท้ายค่ำคืนด้วยการแสดงทางวัฒนธรรมที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่บริเวณหาดทราย ริมต้นน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สามารถถ่ายทอดความงดงามของวัฒนธรรมชาวไทยเชื้อสายจีนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
– วันเวลาการจัดงาน :
ช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์
งานแห่พระบรมสารีริกธาตุวัดนางชี
งานบุญประจำปีทางฝั่งธนบุรีที่ถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช้านาน และเป็นที่รู้จักของคนฝั่งธนบุรีและกรุงเทพฯ อย่างกว้างขวางในสมัยก่อน คือ "งานชักพระวัดนางชี" หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า "งานแห่พระบรมสารีริกธาตุ"
วัดนางชีเป็นวัดเก่า ไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยไหน แต่สันนิษฐานได้ว่าเป็นวัดที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เจ้าพระยาพิชิตชัยมนตรีได้สร้างร่วมกับพระยาฤาชัยณรงค์ และออกหลวงเสนาสุนทร สาเหตุที่สร้างก็เนื่องมาจากแม่อิ่มลูกสาวของเจ้าพระยาพิชิตชัยมนตรีป่วย อย่างไม่รู้สาเหตุ จนกระทั่งมีชีปะขาวมานิมิตเข้าฝันให้เจ้าพระยาพิชิตชัยมนตรีแก้บนโดยให้ ลูกสาวบวชชี ดังนั้นเมื่อแม่อิ่มหายป่วย เจ้าพระยาพิชัยมนตรีจึงให้ลูกสาวบวชชีพร้อมกับสร้างวัดนี้ วัดนี้ได้กลายเป็นวัดร้างในปลายแผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ (พระราชาธิราชที่ ๒) เพราะขาดการดูแลเอาใจใส่ ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากอยู่ระหว่างทำสงครามกับพม่าก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้ง ที่ ๒ วัดนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พ่อค้าสำเภาชื่อพระยาโชฏึกราชเศรษฐี ซึ่งเป็นพ่อค้าชาวจีนอาศัยอยู่ในแผ่นดินสยามได้เป็นผู้บูรณะและปฏิสังขรณ์ ขึ้นใหม่ทั้งวัด ได้ดัดแปลงและแก้ไขรูปทรงพระอุโบสถพระวิหารให้เป็นแบบจีน ประดับประดาด้วยเครื่องเคลือบ และนำตุ๊กตาหินแบบจีนและหินปูทางเดินมาจากเมืองจีนเพื่อมาทำการบูรณะ ปฏิสังขรณ์วัดนี้ นอกจากนี้ได้ถวายเครื่องใช้แบบจีนเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งเตียงไม้มะเกลือประดับลายหอยมุกและหินอ่อน ซึ่งเป็นของลูกสาวที่เสียชีวิตอยู่บนเตียงนี้เมื่ออายุประมาณ ๑๘ ปี ๑ หลัง เมื่อสร้างเสร็จได้ถวายวัดนี้แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นพระ อารามหลวง ได้พระนามว่า "วัดนางชีโชติการาม" ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ พระยาราชานุชิต (จ๋อง) ได้บูรณะและปฏิสังขรณ์วัดนี้อีกครั้งและถวายเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ดังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
ปูชนียวัตถุพิเศษที่สำคัญในวัดได้แก่ พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุสาวกซึ่งมีจำนวนไม่แน่นอน อาจจะเพิ่มหรือลดลงแตกต่างกันไปในแต่ละปี ก่อนที่จะนำพระบรมสารีริกธาตุมาให้ประชาชนสรงน้ำ จะมีการตรวจนับจำนวนพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุสาวกทุกครั้ง เมื่อแห่พระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้วก็จะตรวจอีกครั้งหนึ่งก่อนจะนำไป ประดิษฐานเก็บไว้บนกุฎิเจ้าอาวาส พระบรมธาตุนั้นจะมีขนาดเล็กมากคือมีขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่งของเมล็ดข้าวสาร หัก เวลาตรวจนับจะต้องใช้แว่นขยายช่วยจึงจะมองเห็นชัด กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชาได้เขียนเล่าเกี่ยวกับจำนวนพระธาตุที่เพิ่มขึ้น และลดลงไว้ในหนังสือตำราพระธาตุว่า พระบรมธาตุและพระธาตุนี้ก็เป็นของแปลก ถ้าเป็นพระบรมธาตุก็ว่าเสด็จมาเองบ้าง เสด็จไปเองบ้าง ครั้งหนึ่งประมาณ ๒๐ ปีล่วงแล้ว เขาพูดว่าพระบรมธาตุที่วัดนางชี อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี บางปีก็มี
จำนวนเพิ่มขึ้นบางปีก็มีจำนวนลดลง ที่ว่าไปพิสูจน์นั้น ได้เป็นจริงดังที่เขาว่ากัน ปีแรกที่ไปดูมีจำนวนมาก ครั้งที่สองน้อยลง ครั้งที่สามจำนวนเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึงจำนวนที่ไปดูครั้งแรก สงสัยว่าทางวัดจะเอาออกหรือเพิ่มขึ้นเพื่อลวงว่ามีอภินิหาร ถามเจ้าอาวาสท่านบอกว่าไม่เคยเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ท่านเป็นเจ้าอาวาสมาหลายปีแล้วไม่เคยเอาออกมาดูเลย เอาออกมาสรงน้ำปีละครั้งคือวันแห่และตรวจต่อหน้ากรรมการด้วย
พระบรมสารีริกธาตุที่วัดนางชีมิได้บรรจุไว้ในพระเจดีย์ดังเช่นพระบรมธาตุที่ อื่นแต่บรรจุไว้ในผอบแก้วซึ่งเป็นขวดน้ำหอมจากฝรั่งเศสที่ชาววังใช้น้ำหอม ผสมน้ำอาบกันในสมัยก่อน แล้วประดิษฐานไว้ ณ มณฑปที่จัดทำเป็นพิเศษ ตามประวัติที่เล่ากันต่อ ๆ มากล่าวว่า เมื่อ ประมาณ พ.ศ ๑๒๑๙ คณะพราหมณ์ ๓ ท่าน และชาวจีน ๙ ท่าน ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุบรรจุผอบทองคำ ๒ ผอบมาโดยเรือสำเภาจากชมพูทวีป เพื่อไปประดิษฐานไว้ที่เมืองปทาคูจาม อาณาจักรศรีวิชัย (นครศรีธรรมราช) และที่เมืองเชียงใหม่อีกแห่งหนึ่ง แต่เมื่อได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานที่เมืองนครศรีธรรมราช (ในปัจจุบันนี้ได้บรรจุพระบรมธาตุไว้ในพระสถูปเจดีย์ที่วัดพระบรมธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช) แล้วได้เดินทางต่อไปจนเรือได้เกิดอุบัติเหตุล่มลงที่ตรงบริเวณปากน้ำคลอง ด่านปัจจุบัน (ตามสภาพภูมิศาสตร์ในสมัยอาณาจักรศรีวิชัยทางแถบเมืองธนบุรียังเป็นป่าทึบ และพื้นดินยังไม่งอกออกมามากมายเท่าในปัจจุบัน) คณะพราหมณ์และชาวจีนจึงได้
พร้อมใจกันอัญเชิญเสด็จพระบรมสารีริกธาตุขึ้นห่างจากที่เรือล่มประมาณ ๕ไมล์ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีก็ตกลงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐาน ณ ที่นั้น แต่ไม่ทราบว่าได้ประดิษฐานไว้อย่างไร เมื่อนานเข้าผอบทองที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้นได้ถูกฝังจมดิน พระบรมสารีริกธาตุที่ทูลเชิญเสด็จมาในครั้งนั้นมีด้วยกัน ๕ พระองค์คือ พระบรมสารีริกธาตุที่ส่วนใหญ่ ส่วนแขน ซี่โครง หัวเข่าและขา ต่อมาในสมัยพระชัยราชา (พระเอก) กษัตริย์องค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงศรีอยุธยา ประมาณปี พ.ศ. ๒๐๘๒ เป็นปีที่วัดนางชีสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระบรมสารีริกธาตุเสด็จขึ้นมาให้ปรากฏแก่แม่ชีอิ่มให้เห็นทั้ง ๕ พระองค์ แม่ชีอิ่มได้ทูลเชิญเสด็จบรรจุไว้ในผอบแก้วและได้ประดิษฐานไว้ ณ วัดนางชีแห่งนี้ตั้งแต่นั้นมา
ความสำคัญ
เป็นงานชักพระแห่งเดียวที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ และยังแตกต่างไปจากงานชักพระทางจังหวัดภาคใต้ซึ่งเป็นประเพณีอันสืบเนื่องมา จากพระพุทธประวัติตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์เมื่อเสด็จมาจากดาวดึง ษ์แล้ว จึงอัญเชิญพระพุทธองค์ประทับบนบุษบกที่เตรียมไว้แห่แหนไปสู่ที่ประทับ ซึ่งจัดทำกันในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ อันเป็นวันออกพรรษาโดยอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานบนบุษบกที่อยู่บนรถ หรือบนเรือแล้วให้เรือชาวบ้าน หรือคนช่วยกันจับปลายเชือกลากพระไป แต่งานชักพระวัดนางชีเป็นการเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุสาวกขึ้นประดิษฐานบนบุษบกแทนแล้วชักแห่ไปทางเรือจากหน้าวัดนางชี ไปตามลำคลองด่าน เลี้ยวซ้ายออกไปตามคลองบางกอกใหญ่ และผ่านมาช่วงปลายของคลองซึ่งเรียกว่าคลอง
ชักพระ (ปัจจุบันนี้คำว่าคลองชักพระยังปรากฎเป็นชื่อของสถานที่ต่าง ๆ ในบริเวณนั้น เช่น ตำบลคลองชักพระ สะพานคลองชักพระ ถนนชักพระ เป็นต้น) แล้วอ้อมไปทะลุคลองบางกอกน้อยล่องขบวนไปตามคลองบางกอกน้อย คาดว่าพอถึงวัดไก่เตี้ยเขตตลิ่งชันประมาณตอนเพลหยุดขบวนและขึ้นเลี้ยงพระที่ นั่น เสร็จแล้วก็ล่องขบวนไปออกปากคลองบางกอกน้อย เลี้ยวขวาเลียบมาตามลำน้ำเจ้าพระยาแล้วมาเข้าคลองบางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง) แล้ววกมาเข้าปากคลองด่านกลับไปยังวัดนางชีตามเดิม การแห่ครั้งนี้ชาวบ้านมักเรียกว่า "แห่อ้อมเกาะ"
พีธีกรรม
ในสมัยก่อนงานชักพระวัดนางชีเป็นงานเทศกาลประจำที่ครึกครื้นมโหฬารที่สุดใน แถบนั้น ผู้ที่เข้าขบวนแห่จะแต่งตัวกันอย่างสวยงาม ประณีต เรียบร้อยจะเตรียมซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายไว้ตั้งแต่มีงานภูเขาทอง เป็นที่เชื่อกันว่าในปีใดถ้าไม่มีการแห่พระบรมธาตุจะต้องมีอันเป็นไปอัน ทำให้ชาวบ้านแถบนั้นเกิดโรคภัยไข้เจ็บหรือภัยพิบัติต่าง ๆ แม้แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทางรัฐบาลห้ามไม่ให้มีการแห่แหนหรือจัดงานใดเลย แต่งานแห่พระบรมธาตุก็ยังคงต้องดำเนินไปตามประเพณีโดยได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ ขบวนแห่พระบรมสารีริกธาตุในสมัยก่อนจะเป็นขบวนเรือพายช่วยกันชักจูงเรือที่ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไป ทางวัดจะนำพระบรมสารีริกธาตุมาให้สรงน้ำแต่เช้าตรู่ และจะเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากวัดตั้งแต่ ๖.๐๐ น. ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้นำพระบรมสาริริกธาตุมาให้สรงน้ำตั้งแต่เวลา ๑๗.๐๐ ของวัน แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๒ จนถึงเวลา ๙.๐๐ น. ของวันต่อมา เรือที่มาร่วมขบวนมีจำนวนหลายร้อยลำและมาจากตำบลทั้งใกล้และไกล เรือที่มา
ร่วมขบวนแห่มีหลายแบบ ผู้คนในเรือแต่ละลำก็จะแต่งตัวให้เหมือนกันแล้วแต่จะตกลงกัน บางลำก็แต่งเป็นตัวตลกเช่นใส่หัวล้านทั้งลำ หรือจัดให้มีการเล่นละคร ลิเก เพลง ในเรือเป็นการสนุกสนาน นอกจากนั้นก็มีเรือที่ลากจูงเรือพระบรมธาตุ เรือพวกนี้จะเป็นเรือที่ตกแต่งหัวเรือและท้ายเรือไว้อย่างสวยงาม เช่น เป็นหัวสุครีพ หงส์ เป็นต้น เรือพวกนี้ทางวัดต่าง ๆ จะจัดเตรียมไว้ พอจวนถึงงานชักพระในละแวกนั้นจะไปยืมเรือที่วัดมาเตรียมยาเรือและตกแต่ง เพื่อเข้าขบวนแห่ เรือที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจะเป็นเรือต่อขนาดใหญ่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีวงปี่พาทย์บรรเลงสมโภชไปในเรือตลอดทาง กาญจนาคพันธุ์ เล่าไว้ว่า กระบวนแห่ชักพระนั้นเป็นเรือยาวอย่างที่เรียกกันว่า "เรือแล่น" ...ลงน้ำมันสวยสดงดงามนั่งได้อย่างน้อยก็ ๕-๖ คน พายก็ใช้พายที่เรียกว่า "พายคิ้ว" คือมีลวดลายตลอดกลางใบพาย ทุกลำมีแพรแดงผูกที่หัวเรือ ...เรือที่มีคนพาย
แต่งชุดต่าง ๆ แปลก ๆ เหล่านี้มีตั้ง ๒๐๐ ลำ อีกพวกหนึ่งเป็นเรือยาวพวกเรือชะล่า เรือมาด ....เรือพวกนี้คนนั่งอย่างน้อยราว ๒๐ คน......รวมทั้งหมดเห็นจะราวสัก ๕๐ ลำ เรือพวกนี้เข้าใจว่าจะมาจากที่ไกล ๆ ...นอกจากนี้ก็เป็นเรือแล่นที่แสดงการเล่นละคร ลิเก ฯลฯ ในเรือด้วยมีราวสัก ๑๐ ลำ (แต่ไม่ใช่แสดงทั้งโรง ลำหนึ่ง ๆ ก็มีเพียง ๒-๓ ตัว) ส่วนเรือพระนั้นเป็นเรือใหญ่ตั้งบุษบกตกแต่งอย่างสวยงามทั้งลำมีเรือจูงอีก พวกหนึ่งราวสัก ๒๐ ลำ ในขณะที่ขบวนแห่เคลื่อนไปนั้น เมื่อถึงสะพานใดจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นจากเรือ ให้คนถือเดินข้ามสะพานไปลงเรือทางอีกด้านหนึ่งตลอดทางเมื่อถึงวัดไก่เตี้ยจะ เปิดโอกาสให้คนบริเวณนั้นลงมาสรงน้ำพระบรมธาตุในเรือขณะที่หยุดพักจะมีการละ เล่น การแข่งเรือกันอย่างสนุกสนาน
ระยะต่อมา ได้เปลี่ยนมาใช้เรือยนต์จูงเรือที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ การละเล่นที่สนุกสนานก็ยังคงมีอยู่ เรือที่ตามเรือพระบรมธาตุก็ น้อยลง สมัยนี้ใช้เรือยนต์ลากเรือทรง เรือพายน้อยไปเพราะพายไม่ทันเรือพ่วง พายไม่ทันเลยไม่มีความหมาย เรือก็น้อยลงไปโดยลำดับ เพราะการร่าเริงอยู่ที่จับกลุ่มตามเรือทรงพระบรมธาตุไปเรื่อย ๆ ตามกำลังแรงคน เร็วหรือช้าเขาไม่อุทรณ์ร้อนใจ บางทีนึกสนุกขึ้นมาก็ขึ้นมาช่วยกันเอาเรือทรงผูกไว้ตามต้นไม้ ไม่ยอมให้ไปก็มี เมื่อได้สนุกพอแก่ความต้องการที่ปล่อยเรือจูงลากไป
ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เรือที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเปลี่ยนเป็นเรือยนต์ขนาดใหญ่ ที่ยังจัดตกแต่งเรืออย่างแบบเดิม ส่วนเรือที่ตามขบวนก็เปลี่ยนเป็นเรือหางยาวซึ่งมีผู้ที่จะร่วมขบวนต้องเสีย เงินเป็นค่าโดยสารเรือขบวนนั้น ถึงแม้จะไม่มีเรือของชาวบ้านมาร่วมขบวนแห่อย่างเอิกเกริกดังเช่นสมัยก่อน บรรดาชาวบ้านตามริมคลองยังคงมานั่งดูขบวนแห่ตามริมคลองอย่างหนาแน่นพวกที่ อยู่ลึกเข้าไปจะพายเรือมาจอดรถดูขบวนเป็นทิวแถว เมื่อขบวนเรือไปใกล้บริเวณวัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน จะเริ่มมีขบวนเรือของพวกชาวบ้านพายมาเข้าร่วมขบวนแห่ ยังมีเรือหลายลำแต่งตัวสวยงาม เป็นแบบเดียวกัน บางลำมีการร้องรำทำเพลง เต้นรำกันไปในเรืออย่างสนุกสนาน พอถึงวัดไก่เตี้ยจะเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานบนที่ซึ่งทางวัดจัด ไว้เพื่อให้ชาวบ้านแถบนั้นได้สักการบูชา
สาระ
ท่านผู้สูงอายุหลายท่านเล่าว่าในสมัยก่อนพระบรมสารีริกธาตุมีปาฎิหารย์ปรากฎ ให้เห็นเสมอ เช่นจะเกิดแสงสว่างอย่างประหลาดทั่วท้องฟ้าก่อนที่จะแห่พระบรมสารีริกธาตุ หรือมีลูกไฟดวงใหญ่ปรากฏทางทิศตะวันออก หรือเกิดแสงสว่างอย่างประหลาดในบริเวณที่ประดิษฐานพระบรมธาตุนั้น ปาฏิหาริย์เป็นที่เรื่องลือกันและกล่าวขวัญถึงจนทุกวันนี้ก็คือ ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เมื่อครั้งยังใช้เรือลากจูงเรือพระบรมธาตุเล่ากันต่อ ๆ มาว่า เมื่อขบวนแห่กลับมาถึงหน้าวัดอินทาราม (ใต้) เกิดมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันบนเรือ ผู้คนต่างตกอกตกใจ หลบหนีกันชุลมุนจนทำให้เรือพระธาตุล่มลง มณฑปพระบรมธาตุและผอบที่บรรจุพระบรมธาตุที่ตั้งอยู่บนบุษบกโค่นหล่นน้ำจมลง กลางคลองตอนเวลาประมาณบ่าย ๒ โมงเศษ ชาวบ้านช่วยกันงมหาก็ไม่พบ ในที่สุดขบวนแห่ต้องกลับวัดนางชีโดยไม่มีพระบรมธาตุไปด้วย เจ้าอาวาสเสียใจมาก เมื่อ
กลับมาถึงวัดทำพิธีอาราธนาพระบรมธาตุให้กลับมาวัดนางชีดังเดิม หลังจากนั้นไม่กี่วันมีชาวบ้านบริเวณวัดอินทาราม (ใต้) เห็นผอบแก้วที่บรรจุพระบรมธาตุตั้งอยู่บนแท่นโคนโพธิ์ จึงได้อัญเชิญมาถวายวัดนางชีดังเดิม ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ งานแห่พระบรมสาริริกธาตุได้เปลี่ยนไปจัดในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ หลังวันลอยกระทง ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และ ๒๕๓๑ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้มาเป็นประธานในการแห่พระบรมสารีริกธาตุ ขบวนเรือที่ที่เข้าร่วมขบวนแห่ได้ตกแต่งเป็นเรือบุบผาชาติอย่างสวยงาม และกองทัพเรือได้จัดเรือดั่งพร้อมฝีพายมาร่วมขบวนด้วย และจัดเป็นเรืออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ
เอกสารอ้างอิง
กาญจนาคพันธุ์ (ขุนวิจิตรมาตรา) เมื่อวานนี้ ตอนเด็กคลองบางหลวง , เล่ม ๒ ก.ท. เรืองศิลป์ ๒๕๒๐
"งานชักพระ"ที่บ้านดอน สยามรัฐ ฉบับวันหยุดสุดสัปดาห์ , ปีที่ ๒๙ ฉ.๙๗๔๒ : ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๑
ดำเนิร เลขกุล "วัดนางชี" สตรีสาร , ปีที่ ๙ ฉ.๒๐๗ : กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐
ตำนานพระอารามหลวง พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงสำเร็จวรรณกิจ (บุญ เสขะนันท์)
ณ เมรุวัดธาตุทอง พระโขนง ๒๓ เมษายน ๒๕๑๕ นครหลวงกรุงเทพธนบุรี : อรุณการพิมพ์ ๒๕๑๕
"นครศรีธรรมราช" สยามรัฐ ฉบับวันหยุดสุดสัปดาห์ ปีที่ ๒๙ ฉ ๙๗๗๘ : ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๑.
นางชี, วัด งานแห่พระบรมสารีริกธาตุ, ประจำปี ๒๕๑๕
งานแห่พระบรมสารีริกธาตุ, ประจำปี ๒๕๑๘
ประสานอักษรพรรณ, พระ ผู้รวบรวม "ประวัติวัดนางชี" (โดยรับสั่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า) แถลงการ
คณะสงฆ์ เล่ม ๑๘ ภาค ๓ มิถุนายน ๒๔๗๓
ประเพณีถือศีลกินเจ
ความสำคัญ
จังหวัดกาญจนบุรีมีชาวไทยเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวนมาก ในช่วงต้นเดือนเก้า จะเห็นชาวจีนนุ่งผ้าขาวใส่เสื้ออาภรณ์สีขาวเดินไปสู่ศาลเจ้าและสำนักทาง ศาสนาทางจีนเป็นหมู่ใหญ่แสดงให้เห็นว่าเทศกาลถือศีลกินเจได้เริ่มแล้ว พิธีกินเจจะทำอยู่เก้าวันเก้าคืน เพื่อบูชาพระเก้าองค์กับดาวพระเคราะห์เก้าดวง รวมความว่ามีจำนวนเก้าทั้งสิ้น (การบูชาพระเก้าองค์ หมายถึงพระวรกายของพระพุทธเจ้าทั้งเจ็ดพระองค์ในอดีต ซึ่งอวตารมาช่วยชาวโลก และมีดาวอีกสองดวงเป็นพระวรกายแห่งพระโพธิสัตว์อีกสองพระองค์ ซึ่งทั้งหมดได้แบ่งภาคปรากฏแก่โลก เช่น พระวิชัยโลกมนจงพุทธะ จะปรากฏเป็นดาวพระอาทิตย์ เป็นต้น และดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าได้ก่อให้โลกธาตุซึ่งเป็นหัวใจของโลก มีคุณแก่มนุษย์และสัตว์ พฤกษชาติทั้งปวงอย่างเอนกอนันต์ ) เป็นการบูชาพระผู้ทรงพระคุณและเพื่อความสุข ความเจริญทั้งแก่ตนและแก่โลกสืบไป
พิธีกรรม
เมื่อถึงวันเทศกาลถือศีลกินเจพุทธบริษัทแห่งนิกายมหายานมักหยุดทำธุรกิจ จะกระทำการแผ่เมตตาธรรมแก่มวลมิตรพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ให้อโหสิกรรมแก่กันและกัน แต่งตัวด้วยอาภรณ์ขาวล้วน ถือดอกไม้ธูปเทียนเดินกันไปเป็นหมวดเป็นหมู่ ไปสู่ศาสนสถาน เพื่อกระทำพิธีบูชาพระทั้งเก้าองค์ และตลอดเก้าวันของพิธีถือศีลกินเจพุทธศาสนิกชนจะพึงสมาทานรักษาศีลสามข้อ คือ เว้นจากการนำชีวิตสัตว์มาบำรุงชีวิตตน เว้นจากการนำเลือดสัตว์มาเพิ่มเลือดตน เว้นจากการนำเนื้อสัตว์มาเพิ่มเนื้อตน
ดังนั้นเมื่อถือศีลสามข้อนี้แล้ว จึงรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ได้ ต้องรับประทานแต่อาหารถั่วงาและพืชผักอย่างอื่น
สาระ
ประเพณีถือศีลกินเจได้กระทำสืบเนื่องมานาน เป็นประเพณีที่อิงศาสนา อิงโหรศาสตร์ และอิงวัฒนธรรม ในช่วงเวลาของพิธีถือศีลกินเจถือว่าเป็นช่วงที่ละเว้นจากการเบียดเบียนสัตว์ และกระทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
การแข่งเรือ
ความสำคัญ
การแข่งเรือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวฉะเชิงเทรา ซึ่งมีความผูกพันกับแม่น้ำบางปะกง ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมาแต่โบราณกาล
พีธีกรรม
การแข่งเรือ นับเป็นประเพณีที่มีการปฏิบัติการมาเป็นเวลายาวนาน โดยถือกำหนดในวันที่มีการแห่หลวงพ่อโสธรทางน้ำเป็นสำคัญ คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ของทุกปี แต่เดิมจัดขึ้นที่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง หน้าตัวเมือง แต่ปัจจุบันได้ย้ายไปจัดบริเวณหน้าวัดโสธรวรวิหาร เรือที่เข้าแข่งมีหลายประเภท ตั้งแต่เรือยาวเล็ก เรือยาวใหญ่ เรือเร็วติดเครื่องยนต์ ฯลฯ
การแข่งเรือยาวฝีพายแต่ละลำมีจำนวนประมาณ ๕๐ คนมีหัวหน้าควบคุมเรือ ๑ คน จังหวะการพายจะพาย ๒ ต่อ ๑ คือ ฝีพาย ๒ ครั้ง ผู้คัดท้ายจะพาย ๑ ครั้ง กติกาการแข่งขันผู้ชนะจะต้องชนะ ๒ ใน ๓ คือ เมื่อแข่งเที่ยวแรกไปแล้ว จะเปลี่ยนสายน้ำสวนกัน ถ้าชนะ ๒ ครั้งติดต่อกันถือว่าชนะ แต่ถ้าผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะจะมีการแข่งขันเที่ยวที่ ๓
สาระ
นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่ผูกพันกับผืนน้ำของผู้คนแล้วยังเป็นเครื่อง บ่งบอกถึงความสมานสามัคคีของบุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่าอยู่ในเรือลำเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝน การทุ่มเทแรงกายแรงใจ ความพร้อมเพรียงจังหวะและการประสานสัมพันธ์ ที่ทำให้ไปสู่จุดมุ่งหมายได้โดยมิใช่อาศัยความสามารถของคนใดคนหนึ่ง
ประเพณีตักบาตรนํ้าผึ้ง
ความสำคัญ
การตักบาตรน้ำผึ้ง เป็นประเพณีการถวายน้ำผึ้งแก่ภิกษุและสามเณร ของชาวรามัญที่วัดพิมพาวาส อำเภอบางปะกง สืบเนื่องมาจากความเชื่อว่าในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเสด็จประทับที่ป่าเลไลย์ มีช้างและลิงคอยอุปัฏฐากโดยการนำเอาอ้อยและน้ำผึ้งคอยถวาย ต่อมาจึงทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุสามเณรรับน้ำผึ้งและน้ำอ้อยมาบริโภคเป็นยา ได้
พิธีกรรม
การตักบาตรน้ำผึ้งมักจัดกันที่ศาลาวัด ขณะที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์นั้น ชาวบ้านจะนำน้ำผึ้งมาใส่บาตร และนำน้ำตาลใส่ในจานที่วางคู่กับบาตร ส่วนอาหารคาวหวานจะใส่ในภาชนะที่วางแยกไว้อีกด้านหนึ่ง อาหารพิเศษที่นำมาใส่บาตร ได้แก่ ข้าวต้มมัด ถวายเพื่อให้พระฉันจิ้มกับน้ำผึ้งหรือน้ำตาล
สาระ
การตักบาตรน้ำผึ้งเป็นกิจกรรมที่น้อมนำให้ระลึกถึงองค์ผู้มีพระภาคเจ้าที่มี ความเกี่ยวข้องกับสัตว์เดียรัจฉาน สัตว์ยังรู้คุณค่าของศาสนาด้วยการเสาะแสวงหาภิกษาหารนำมาถวายพุทธองค์เพื่อ ได้สดับตรับฟังธรรม พุทธศาสนิกชนจึงนำรูปแบบของการนำปัจจัยมาถวายเพื่อจุดหมายการได้ฟังธรรม เทศนาเช่นกัน