ประเพณีและวัฒนธรรมไทย
ผู้จัดทำ
ประเพณีและวัฒนธรรมไทย
ประเพณีไทย ภาคเหนือ
ประเพณีไทย ภาคอีสาน
ประเพณีไทย ภาคกลาง
ประเพณีภาคใต้
ประเพณีแต่ละภาค ยูทูป
วัฒนธรรมประเพณีไทย
คำว่า
วัฒนธรรม
มาจากคำว่า “Culture” ในภาษาอังกฤษ ซึ้งคำนนี้มีรากศัพท์มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่า การเพาะปลูกและบำรุงให้เจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” ในภาษาไทย เป็นคำที่ได้มาจากการรวมคำ 2 คำ เข้าด้วยกัน คือ คำว่า “วัฒนะ” หมายถึง ความเจริญงอกงาม รุ่งเรือง และ คำว่า “ธรรม” หมายถึง การกระทำหรือข้อปฎิบัติ เมื่อรวมกันแล้ว วัฒนธรรมตามความหมายของคำในภาาาไทยจึงหมายถึงข้อปฎิบัติเพื่อให้เกิดความ เจริญงอกงาม
วัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิพลหลักจากวัฒนธรรมอินเดีย จีน ขอม ตลอดจนวิญญาณนิยม ศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู
วัฒนธรรมแห่งชาติของไทยเป็นการสร้างสรรค์ใหม่ซึ่งสิ่งที่ปัจจุบันถือเป็น วัฒนธรรมไทยเดิมไม่มีอยู่ในรูปแบบนั้นเมื่อกว่าร้อยปีก่อน บ่อเกิดสามารถสืบย้อนไปได้ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัย
สงครามโลกครั้งที่สอง
หลวงพิบูลสงคราม
สนับสนุน การส่งเสริมวัฒนธรรมไทยกลางเป็นวัฒนธรรมแห่งชาตินิยามและยับยั้งมิให้ชนก ลุ่มน้อยแสดงออกซึ่งวัฒนธรรมของตน วัฒนธรรมพลเมืองรุ่นปัจจุบันซึ่งส่วนใหญ่ยึดรุ่นอุดมคติของวัฒนธรรมไทยกลาง เป็นการสร้างสรรค์ใหม่ซึ่งรวมลักษณะชาตินิยมสมัยรัชกาลที่ 5 ราชย์กัมพูชา และลัทธิอิงสามัญชนที่นิยมบุคคลลักษณะ หรือสรุปคือ วัฒนธรรมพลเมืองของไทยปัจจุบันนิยามว่าประเทศไทยเป็นดินแดนของคนไทยกลาง มีศาสนาเดียวคือ พุทธนิกายเถรวาท และปกครองโดยราชวงศ์จักรี
ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเน้นว่า คนส่วนใหญ่ไม่สามารถ
ตรัสรู้
และไปถึง
นิพพาน
และดีที่สุดที่ทำได้คือ การสะสมบุญผ่านการปฏิบัติที่เป็นพิธีกรรมอย่างสูง เช่น การถวายอาหารพระสงฆ์และการบริจาคเงินเข้าวัด คำสอนทางศาสนาถูกเลือกให้สนับสนุนมุมมองทางโลกแบบศาสนาขงจื๊อใหม่ซึ่งมี ศูนย์กลางอยู่ที่สามเสาหลัก ศาสนาพุทธของไทยยังรวมการบูชาวิญญาณของกัมพูชาและความเชื่อว่าพระมหา กษัตริย์เป็นสมมุติเทพ นอกจากนี้ยังเน้นรูปแบบมากกว่าแก่นสารคนไทยเน้นและให้คุณค่ารูปแบบมารยาทภายนอกอย่างยิ่งเพื่อรักษาความสัมพันธ์ ประสานกัน กฎมารยาทหลายอย่างเป็นผลพลอยได้ของศาสนาพุทธ สังคมไทยเป็นสังคมไม่เผชิญหน้าที่เลี่ยงการวิจารณ์ในที่สาธารณะ การเสียหน้าเป็นความเสื่อมเสียแก่คนไทย จึงเลี่ยงการเผชิญหน้าและมุ่งประนีประนอมในสถานการณ์ลำบาก หากสองฝ่ายไม่เห็นด้วยกัน
การไหว้
เป็นแบบการทักทายและแสดงความเคารพของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่
ตามประเพณีและมีแบบพิธีเข้มงวด คนไทยใช้ชื่อต้นมิใช่นามสกุล และใช้คำว่า "คุณ" ก่อนชื่อคนไทยเคารพความสัมพันธ์แบบมีลำดับชั้น ความสัมพันธ์ทางสังคมนิยามว่า บุคคลหนึ่งสูงกว่าอีกคนหนึ่ง บิดามารดาสูงกว่าบุตรธิดา ครูอาจารย์สูงกว่านักเรียนนักศึกษา และเจ้านายสูงกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อคนไทยพบคนแปลกหน้า จะพยายามจัดให้อยู่ในลำดับชั้นทันทีเพื่อให้ทราบว่าควรปฏิบัติด้วยอย่างไร มักโดยการถามสิ่งที่วัฒนธรรมอื่นมองว่าเป็นคำถามส่วนตัวอย่างยิ่ง สถานภาพกำหนดได้โดยเสื้อผ้า ลักษณะปรากฏทั่วไป อายุ อาชีพ การศึกษา นามสกุลและความเชื่อมโยงทางสังคม
ครอบครัวเป็นเสาหลักของสังคมไทยและชีวิตครอบครัวมักอยู่ใกล้ชิดกว่าวัฒนธรรม ตะวันตก ครอบครัวไทยเป็นลำดับชั้นทางสังคมอย่างหนึ่ง และเด็กถูกสอนให้เคารพบิดามารดา สังคมคาดหวังให้สมาชิกครอบครัวดูแลผู้อาวุโสและบ้านพักคนชราและโรงพยาบาล เป็นทางเลือกสุดท้าย คนชรามักอยู่บ้าน อยู่กับครอบครัวและหลานและเกี่ยวข้องในชีวิตครอบครัว
มารยาททางกายแบบไทย
๑. ถ้าต้องนั่งกับพื้นต่อหน้าผู้ใหญ่ต้องนั่งพับเพียบโดยกิริยาสำรวมนั่งทรงตัว ตรงเก็บเท้าทั้งสองข้างชิดตัวเรียบร้อยไม่เกะกะ วางมือทั้งสองข้างชิดตัวเรียบร้อยไม่เกะกะ วางมือทั้งสองไว้บนตัก หันหน้าไปสู่ผู้ใหญ่ในลักษณะหน้าเงย
๒. ไม่นั่งล้ำหน้าผู้ใหญ่ ไม่หันหลังให้ผู้ใหญ่ ไม่เหยียดเท้าให้ผู้ใหญ่
๓. ไม่ถือสาวิสาสะใช้หรือรับประทานของที่เขาจัดไว้สำหรับผู้อื่นโดยเฉพาะ
๔. ไม่ล้อเลียนผู้ใหญ่หรือผู้ที่สูงอายุกว่าตน
๕. ในงานพิธีใดที่เขาจัดเก้าอี้ให้แขกนั่ง เมื่อเห็นผู้ใหญ่ต้องยืนเพราะไม่มีที่นั่ง ผู้มีมารยาทดีควรลุกนั่งหรือหาที่นั่งเพิ่มเติมให้
๖. เมื่อต้องการจะดูสิ่งใดที่ผู้ใหญ่หรือผู้อื่นกำลังดูอยู่ เมื่อเขาไปทีหลังเขา อย่าเบียดแทรกเข้าไปหรือผู้อื่นข้างหน้า ต้องดูโดยมิให้เป็นการผ่านหน้าหรือบังตาผู้อื่น
๗. ก่อนจะช่วยเหลือทำสิ่งใดโดยจำเป็นจะต้องแตะต้องร่างกายผู้ใหญ่ให้ดี ผู้อื่นก็ดี
ควรกล่าวคำขอโทษเสียก่อนแล้วจึงช่วยเหลือ เช่น ปัดมด หรือหยิบผงออกจากตัวให้ เป็นต้น
๘. เมื่อเห็นสิ่งของ ๆ ผู้ใดตก หรือของนั้นจะเสียหายโดยเจ้าของไม่รู้ตัว ควรจะบอกให้เจ้าของทราบทันที
๙. ผู้มีมารยาทดีย่อมไม่ล้วง แคะ แกะ เกา หรือหาวเรอต่อหน้าผู้อื่น แม้จะไอจามก็ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากให้เสียงค่อยลง และไม่ให้ผู้อื่นรังเกียจหรือรำคาญ
๑๐. เวลารับของจากผู้ใหญ่ ควรแบมือออกรับอย่าฉวยกระชากมาโดยแรง หรือถ้าเป็นของยาวควรแบมือรองรับของนั้น ถ้าเป็นของหนัก ก็ใช้มือทั้งสองรองรับของนั้นจากมือของผู้ใหญ่
การไหว้
การไหว้เป็นประเพณีไทยโบราณ เป็นวิธีเคารพแก่ผู้ควรเคารพ จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะแก่กาละเทศะ
๑. การไหว้มีหลายวิธี มีทั้งนั่งไหว้ยืนไหว้ เพื่อเคารพบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ใหญ่กว่าตน
ก. วิธีนั่งไหว้ นั่งพับเพียบพนมมือทั้งสองข้างขึ้นไว้ระดับอก ก้มศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดกันที่หว่างคิ้ว
ข. วิธียืนไหว้ ถ้าจำเป็นต้องไหว้เพราะอยู่นอกสถานบ้านเรือน เมื่อพบคนที่ต้องเคารพตามหนทางก็ให้พนมมือทั้งสองยกขึ้นระดับอก ก้มศรีษะลงจนหัวแม่มือจรดกันหว่างคิ้ว
๒. การรับไหว้ เมื่อมีผู้ทำความเคารพให้แก่เรา ควรรับไหว้คือเคารพตอบเพื่อมิให้เสียมารยาท หรือทำให้ผู้แสดงความเคารพต้อง
กระดากใจ หรือโกรธจนเป็นเหตุให้นึกไม่อยากจะเคารพต่อไปได้
วิธีรับไหว้ ยกมือทั้งสองประนมไว้ระดับอก แล้วยกขึ้นให้สูงมากหรือน้อยตามฐานะของผู้ไหว้ และของผู้รับไหว้
๓. วิธีนั่งลงศอก เป็นวิธีเคารพผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงมากอีกแบบหนึ่ง ในเวลานั่งพับเพียบอยู่กับพื้น ในเมื่อผู้เป็นใหญ่มานั่งพูดคุยด้วย ครั้นจะนั่งพับเพียบตัวตรง ๆ ก็รู้สึกว่าเคารพไม่พอ จึงก้มตัวลงให้แขนทั้งสองวางลงบนตักมือประสานกันเงยหน้าขึ้น ในโอกาสที่ต้องพูดโต้ตอบหรือนั่งเฉย ๆ เงยหน้าพอควรถ้ามิได้พูดโต้ตอบกับผู้ใหญ่
๔. เมื่อนั่งเก้าอี้อยู่ ถ้าผู้สูงศักดิ์หรือผู้ที่เราเคารพอย่างสูงมายืนหรือนั่งพูดอยู่ใกล้ ๆ เราจะนั่งอย่างเคารพในลักษณะทอดศอกลงบนเข่าของเรามือประสานกัน พูดโต้ตอบกับท่านก็ได้ ดีกว่านั่งเก้าอี้ตัวตรงเฉยเสีย ห้อยเท้าให้ชิดกันแลเก็บเท้าให้ชิดกับเก้าอี้ให้มากที่สุด
๕. การกราบ
วิธีกราบ นั่งในท่าหมอบพนมือให้ชิดกันลงบนพื้นไว้ข้างหน้า ก้มศรีษะละกับพื้นให้หว่างคิ้วจรดนิ้วหัวแม่มือกราบหรือหมอบกราบจะกระทำให้ แก่ผู้ทรงศักดิ์ เจ้านาย และอาวุโส และกราบครั้งเดียวโดยไม่แบมือลงกับพื้น
๖. การคลาน
วิธีคลาน เป็นการเคลื่อนตัวผ่านคนมาก ๆ ซึ่งกำลังนั่งอยู่กับพื้น หรือมีผู้อาวุโสที่นั่งอยู่กับพื้น ประเพณีของเราสอนกันไว้ว่าผู้มีมารยาทดีย่อมไม่เดินกรายหัวคน
วิธีคลานมีหลายชนิด การคลานคือใช้กระดูกหัวเข่าเคลื่อนออกไปแทนใช้เท้าเดิน
ก. คลานเข่า ใช้มือทั้งสองวางแบลงกับพื้นพยุงตัวไว้ นั่งคุกเข่าชิดกับพื้น กระดกนิ้วเท้ายันกับพื้นให้ตรงเท้าแขนทั้งสองให้มือแบยันพื้นจนสุดแขนแลตาม ด้วยเข่าซ้ายสลับกันไปถึงจุดหมายปลายทาง
ข. คลานเข่า คือคู้เข่าให้หัวเข่าทั้งสองข้างเคลื่อนไปข้างหน้า สลับเข่าซ้ายทีหนึ่งขวาทีหนึ่งแทนใช้เท้าเดินไม่ต้องใช้มือช่วยพยุงตัวแบบ คลานสี่ขาอย่างข้อ ก. แต่การคลานแบบนี้ไม่สู้เป็นที่นิยมถือว่าไม่สุภาพเท่ากับคลานสี่ขาอย่างข้อ ก.
ค. คลานยกของมือเดียว ใช้เฉพาะพระมหากษัตริย์แลเจ้านาย แลผู้ทรงอาวุโส
คลานยกของสองมือ ( คลานโขยก )
มือทั้งสองถือของคุกเข่าแล้วตั้งเข่าขึ้นข้างหนึ่งให้ตรง สืบเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้าโดยการขยับตัว ( โขย่างตัวขึ้น ) แล้วเปลี่ยนเข่าอีกข้างหนึ่งตั้งขึ้นสลับกันไปจนถึงจุดหมาย
ง. คลานศอก คือคลานเข่าอย่างธรรมดา แต่งอศอกให้ลำแขนท่อนล่างทอดไปตามพื้นให้ศอกเลื่อนไปข้างหน้าแทนมือ แขนและขาจะเคลื่อนไปพร้อม ๆ กัน
๗. การยืน
เป็นอิริยาบถที่ใช้กระดูกส่วนยาวของขาแลหัวเข่าทุกส่วนช่วยกระดูกเชิงกราน กระดูกสันหลังพร้อมด้วยศีรษะขึ้นให้ตรงเพื่อให้น้ำหนักลงมาอยู่ที่ปลายเท้า สองข้างในเวลาตั้งตัวขึ้นตรง
การเคารพในท่ายืน มีดังนี้
ยืนเคารพธงชาติ เป็นสัญญลักขณ์ประจำชาติซึ่งเป็นที่รักแลหวงแหนของประชาชนผู้เป็นเจ้าของ ชาตินั้น ๆ ทั่วโลก ฉะนั้นเวลาเชิญธงชาติขึ้นเสาแลลงจากเสาทุกวัน เราจึงหยุดเคารพเป็นกิจวัตรประจำวันของประชาชนที่ได้เห็นแลได้ยินเพลงชาติ บรรเลงตามเวลาที่เชิญธงชาติขึ้นหรือลง
๑. ในพิธีต่าง ๆ เมื่อเห็นคนเชิญธงชาติผ่านหน้า เราต้องยืนขึ้นเพื่อทำความเคารพทุกครั้ง ธงชาติเป็นสัญญลักษขณ์
อันศักดิ์สิทธิ์ของชาติ ในเมื่อข้าราชการหรือประชาชนคนใดบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ชาติต้องเสียชีวิตใน ระหว่างปฏิบัติราชการ รัฐบาลจะใช้ธงชาติคลุมศพเพื่อให้เกียรติอย่างสูง
๒. ในทันทีที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาถึงในงานพิธีต่าง ๆ เราต้องยืนตรงเพื่อถวายความเคารพ หรือเวลาเราอยู่บนถนนก็เช่นเดียวกัน คือรีบหันหน้าไปทางที่เสด็จ ฯ ผ่านแล้วหยุดยืนตรงเพื่อถวายความเคารพหรือจะถวายคำนับก็ได้
๓. ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีต้องหยุดยืนตรงนิ่งอยู่กับที่ จนกว่าจะจบเพลงเพื่อถวายความเคารพ แลต้องถวายคำนับหรือยกมือไหว้เคารพเมื่อเพลงจบ
๔. ยืนต้อนรับผู้ใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามาในงาน ถ้าเรากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ต้องลุกยืนตรงด้วยความสำรวมเรียบร้อย
แลหันหน้าไปทางผู้ใหญ่
๕. ผู้มีมารยาทดีจะยืนตรงห้อยแขนและขาตามธรรมชาติเพื่อเคารพผู้ใหญ่ แต่ถ้าประสานมือไว้ข้างหน้าด้วยเป็นการแสดงความเคารพทวียิ่งขึ้น
๘. การเดิน
การเดินคืออยู่ในท่ายืน ก้าวขาตรงออกทีละข้างสลับกัน งอเข่าแล้ววางเท้าให้ตรงประดุจดังเดินบนกระดานแผ่นเดียว ควรเดินให้เรียบร้อย ไม่หัวเราะดังหรือสัพยอกกันเอะอะ ไม่ส่ายตัว ตั้งศรีษะตรง แขนแกว่งพองามไม่สูงจนน่าเกลียด ถ้าเดินเป็นหมู่ควรจะเหลียวดูรอเพื่อนที่ตามมาข้างหลัง ไม่เดินเร็วหรือช้าจนเกินไป
๙. การนอน
การนอนเป็นกิริยาทีวางร่างกายทุกส่วนทอดราบลงบนเตียงหรือบนพื้นที่ใช้นอนสุภาพชนควรนอนเฉพาะที่และ
เหมาะแก่กาละไม่ใช่ทั่วไป
๑๐. มารยาทแบบสากลทางกาย
การจับมือแบบฝรั่งเป็นเครื่องหมายแสดงความยินดีในการต้อนรับแสดงความเคารพ เป็นมิตรไมตรีไว้เนื้อเชื่อใจกัน อาการกิริยาที่ใช้แสดงการยื่นมือขวาเปล่า ๆ ออกมา ย่อมแสดงให้ทั้งสองฝ่ายเห็นความบริสุทธิ์ซึ่งกันและกัน เปิดเผยซึ่งกันและกันว่าไม่มีอะไรซุกซ่อนในมือก่อนที่จะจับมือกัน เช่นเดียวกับการแสดงความเคารพของประเพณีไทย ด้วยการยกมือทั้งสองข้างมาพนมแล้วก้มศรีษะลงแสดงความเคารพ
การใช้วาจาที่สุภาพแบบไทย
ประเพณีนิยมถือความลดหลั่นกันในทาง ชาติวุฒิ คุณวุฒิ และวัยวุฒิ ซึ่งแสดงว่าเป็นชาติที่มีความรู้สิกนึกคิดประณีต แสดงออกให้เห็นทางความประพฤติทั้งกายวาจาและใจ วาจาไพเราะหรือที่เรียกเป็นศัพท์ว่า ปิจะวาจานั้น ได้แก่ถ้อยคำที่เว้นจากวจีทุจริต วาจาไพเราะเป็นคุณสมบัติสำคัญในการพูด เพื่อความสงบสำเร็จประโยชน์ตนประโยชน์ท่านและย่อมยึดเหนี่ยวใจของผู้ฟังได้ ให้เกิดความนิยมรักใคร่นับถือผู้พูดมารดาบิดาเจรจากับบุตรด้วยถ้อยคำอ่อน หวาน คำนั้นย่อมจับใจของบุตรธิดา ทำให้เกิดความรักใคร่นับถือและกตัญญูต่อบิดามารดายิ่งขึ้น บุตรธิดารู้จักพูด มารดาบิดาย่อมรักเอ็นดูมากขึ้น
ผู้มีมารยาทจะต้องระมัดระวังในการใช้วาจา คือ
1. ต้องระวังมิใช้วาจาเท็จ อันเป็นเหตุให้คนทั้งหลายคลายความเชื่อถือ เพราะความเท็จนั้นจะปรากฏขึ้นมิวันใดก็วันหนึ่ง ถ้ามีผู้จำได้ก็จะเห็นไปว่ากิริยาวาจาที่บุคคลพูดเท็จอย่างสุภาพเรียบร้อย นั้นเป็นเสมือน เปลือกที่หุ้มห่อร่างกายอยู่ภายนอก แต่ภายในไม่มีอะไรดีเลย เหมือนกับต้นกล้วยเรียบร้อยข้างนอก แต่ภายในไม่มีแก่น
2. ไม่ใช้วาจายุยงส่อเสียดให้ผู้อื่นแตกร้าว หรือระหองระแหงกัน ควรหลีกเสียอย่างเด็ดขาด การสนทนาที่ดีย่อมไม่กล่าวถึงใครในแง่ร้าย ให้กล่าวถึงเรื่องที่ไม่พาดถึงบุคคลในทางที่จะทำให้เขาเสียหาย ควรพูดนทนาในทาที่จะเกิดความรู้
3. ไม่กล่าววาจาหยาบคายเสียดสีดูถูก หรือขัดคอผู้อื่น จะทำให้ขัดเคืองกันและเป็นการน่าละอายสำหรับผู้ที่แสดงวาจาเช่นนั้นออกมา เพราะจะทำให้ผู้ได้ยอนได้ฟังรู้ไปถึงว่าผู้พูดมีการอบรมมาอย่างไร
4. ต้องพยายามใช้คำพูดที่เหมาะสมที่ควรและถูกหูผู้ที่เราพูดด้วย การพูดวาจาไพเราะย่อมเป็นที่นิยมชมชอบแก่ผู้ได้ยินได้ฟังมาก และยังให้ประโยชน์แก่ตนเองให้เป็นที่นับถือ
ของคนทั้งหลาย ถ้าเข้าใจพูดอาจยังผู้น้อยให้มีแก่ใจทำกิจการด้วยความจงรักภักดี
5. ย่อมไม่พูดเสียงดังจนเกินไป หรือพูดพลางหัวเราะพลางในกลุ่มคนที่ตนร่วมสนทนาด้วย จะทำให้ผู้พูดเสียบุคลิกลักษณะของสุภาพชน
6. คู่สนทนาที่ดีนั้นมิใช่จะเป็นผู้พูดอย่างเดียว หรือฟังอย่างเดียว จะต้องปฏิบัติให้พอดี คือรู้จักพูดให้ผู้ฟังพอใจและเป็นนักฟังที่สนใจ
7. สุภาพสตรีย่อมมีความสำรวมกายอยู่เป็นนิจ ไม่ส่งเสียอื้ออึง ไม่ทำสนิทหรือหยอกล้อกับบุรุษในที่ลับและที่เปิดเผย ไม่พูดจาหยาบคาย ไม่หัวเราะส่งเสียงดัง พูดดังเกินงามจนเป็นจุดเด่นให้คนอื่นหันมาจ้องมอง
มารยาททางใจ
ผู้มีมารยาททางใจคือผู้ที่ได้มีการปรับปรุงจิตใจให้ฝักใฝ่ในศีลธรรมคือเรา ทุกคนย่อมทราบว่าอะไรถูกอะไรผิดด้วยกันทั้งนั้นและย่อมใฝ่ในคุณงามความดี ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเราไม่ชอบอะไรคนอื่นก็คงไม่ชอบเหมือนกัน จึงควรวางตนเป็นคนช่างใช้ความคิดเสมอหลักธรรมเป็นแนวปฏิบัติดังนี้ คือ
มีพรหมวิหาร คือธรรมประจำใจของผู้ประเสริฐ หรือ ผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่กว้างขวางดุจพระพรหม 4 อย่าง ดังนี้
1. เมตตา ความรัก ความปรารถนาดี มีไมตรี ต้องการช่วยเหลือให้ทุกคนประสบประโยชน์และ ความสุข
2. กรุณา ความสงสาร อยากช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ ใฝ่ใจที่จะปลดเปลื้องยำยัดความทุกข์จากความเดือดร้อนของผู้อื่น
3. มุทิตา ความเบิกบานยินดี เมื่อเห็นผู้อื่นอยู่ดีมีความสุข ก็มีจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน
4. อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง มีจิตราบเรียบ ไม่เอนเอียงด้วยรักหรือชังเมื่อมีคุณธรรมภายในเป็นพื้นฐาน จิตใจเช่นนี้แล้วย่อมทำให้การแสดงออกภายนอกเป็นไปอย่างบริสุทธิ์หนักแน่นและ จริงจังฉะนั้น
บุคคลพึงระวังสำรวมความคิดจิตใจที่มักจะแสดงออกมาให้เห็นทางกิริยาและวาจา ให้ถูกต้องแลงดงามเหมาะกับกาลเทศะและแก่บุคคลเวลาอยู่ในสมาคม หรือในที่สาธารณะ เป็นตัวอย่างต่อไปนี้
1. ในงานมงคลต่าง ๆ ควรแสดงสีหน้าเบิกบานสดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ
2. ในเวลาเยี่ยมคนป่วย ควรระมัดระวังกิริยาอาการให้เรียบร้อย ใช้คำพูดที่อ่อนโยนเพื่อปลอบใจผู้ป่วย ไม่พูดอะไรที่จะกระทบกระเทือนใจผู้ป่วย ไม่พูดอะไรที่จะกระทบกระเทือนใจผู้ป่วย ควรหาเรื่องสนุกมาเล่าสู่กันฟัง
3. ในงานเผาศพ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรแสดงกิริยาสงบและสงวนความรื่นเริงไว้ให้มากกว่าเวลาอื่นเช่น เผาศพแล้ว ไม่ควรยืนจับกลุ่มสนทนาร่าเริงกันทักทายกันพอสมควรแล้วกลับ ถ้าจะอยู่เผาจริงควรหาที่สมควรนั่งด้วยความสำรวมระวังแต่การไปช่วยงานศพของ เราในปัจจุบันมักจะเห็นกันว่าเป็นการษมาคมอย่างทั่วๆไปแขกมักจะอยู่นานโดย ถือว่าเป็นกันเองเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เกิดจับกลุ่มสนทนาออกรสชาติสนุกสนานขึ้น มาซึ่งเป็นการผิดมารยาทอย่างยิ่งสุภาพชนควรรู้ว่าตนกำลังอยู่ในสังคมใด สถานที่เช่นใด จึงควรพยายามยั้งใจตนเองให้อยู่ในความพอดีเสมอ
มารายาทในการรับประมานอาหาร
1. เมื่อได้รับเชิญไปรับประทานอาหารในงานพิธีใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานแบบไทยแบบฝรั่งย่อมใช้มารยาทสุภาพเช่นเดียวกันถ้า เป็นการรับประทานแบบนั่งเก้าอี้ก็ต้องนั่งตัวตรงเรียบร้อยแลใช้เครื่องใช้ใน การรับประทานอาหารที่เป็นส่วนของตน เช่น จาน ชาม ช้อน ส้อม มีด จานแบ่ง ผ้าเช็ดมือ ถ้วยน้ำแลถ้วยเหล้า ถ้าเป็นอาหาร ไทยต้องใช้ช้อนกลางตักอาหารที่เป็นของกลาง ไม่ใช้เครื่องมือของตนเองตักอาหารซึ่งเป็นของกลาง
2. เวลารับประทานอาหารต้องรับประทานโดยระมัดระวัง ไม่ทำให้เลอะเทอะมูมมาม ควรหุบปากเวลาเคี้ยวอาหารเพื่อระวังมิให้มีเสียงดัง
3. ไม่ใช้มือของตนเองแตะต้องหรือหยิบอาหารที่ผู้อื่นจะบริโภค หรืออาหารที่เป็นของกลาง
4. ในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นต้องรอให้ผู้มีอาวุโสกว่านั่งก่อนจึงนั่ง แลผู้อาวุโสเริ่มรับประทานก่อนจึงรับประทาน
5. ถ้านั่งเก้าอี้ควรนั่งตัวตรง ไม่ท้าวศอกบนโต๊ะอาหารถ้านั่งกับพื้นควรนั่งพับเพียบเรียบร้อยแลตั้งตัวตรงไม่ท้าวแขน
6. การใช้ผ้าเช็ดมือ เมื่อเข้านั่งโต๊ะอาหารก่อนจะรับประทานควรหยิบผ้าเช็ดมือปูที่ตัก ก่อนดื่มควรใช้ผ้าเช็ดมือเช็ดปากก่อนทุกครั้งเพื่อมิให้แก้วเป็นคราบ ดื่มเสร็จแล้วเช็ดอีกครั้ง
7. ถือช้อนด้วยมือขวาแลส้อมด้วยมือซ้ายในเวลารับประทานอาหารแบบไทย
8. การซดน้ำซุบหรือน้ำแกง ย่อมซดจากข้างช้อนแลซดอย่างเงียบอย่าให้มีเสียงดัง
9. การใช้มีด มีไว้สำหรับตัดอาหาร จะนำไปจิ้มอาหารเข้าปากไม่ได้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ผู้ใดใช้มีดส่งอาหารเข้าปากผู้นั้นเสียมารยาทอย่างมาก
10. ในการรับประทานอาหารน้ำชาหรือกาแฟ ช้อนกาแฟหรือช้อนชามีไว้สำหรับใช้คนเท่านั้นเมื่อคนเสร็จแล้วต้องว่างไว้ใน จานรองถ้วยอย่าคาช้อนไว้ในถ้วย แลอย่าซดจากช้อนเป็นอันขาด
11. การรับประทานอาหารแบบไทยหรือแบบพึ่งตัวเอง เรารับประทานด้วยมองของเราเอง ก่อนรับประทานต้องล้างมือให้สะอาด ใช้ผ้าสะอาดปูลาดบนพื้นบ้าน ผู้ที่จะรับประทานนั่งลงล้อมวงกันตักข้าวใส่จานก้นตื้นให้ครับคนลงมือตัก ข้าวกับใส่จานด้วยช้อนกลาง ใช้มือขาวขยุ้มของที่ตักมากับข้าวในจานให้เป็นก้อนให้พอดีกับปากของตัว ใช้นิ้วหัวแม่มือผลักก้อนข้าว
ให้เข้าไปอยู่ในปาก ต้องระวังอย่าให้ร่วงหล่นออกจากปากจะเป็นการเสียมารยาท
12. การรับประทานอาหารชนิดช่วยตัวเองหรือบุ๊ฟเฟ่ท์ โดยมากจัดสำหรับเมื่อมีแขกมาก ๆ คือเจ้าของบ้านจะวางอาหารพร้อมทั้งคาวหวานแยกกันไว้เป็นหมู่ จัดอย่างสวยงามทั้งคาวหวาน แล้วเชิญแขกที่รับเชิญไปแบ่งรับประทานเองตามใจชอบ
13. ผู้รับเชิญจะเดินไปหยิบเครื่องมือสำหรับรับประทานก่อน เช่น จาน ชาม ส้อม ช้อน มีด และอื่น ๆ
14. เมื่อมีเครื่องอุปกรณ์พร้อมแล้วจึงเดินเลือกอาหารตามใจชอบ
15. เราควรจะรู้จักกระเพาะอาหารของเราให้ดีว่าจะบรรจุอาหารนักเท่าใด แล้วแบ่งให้พอดีกับความต้องการของตน อย่าโลภตักแบ่งไปจนรับประทานไม่หมด และอย่าแบ่งโดยคุ้ยเขี่ยทำลายความสวยงามที่เขาตบแต่งอาหารไว้
16. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็วางไว้ที่ใดที่หนึ่งที่เหมาะแก่จานชามที่ใช้ แล้ว หรือส่งให้คนรับใช้ที่เดินเก็บจานชามที่แขกรับประทานเสร็จแล้วก็ได้
การเคารพพระสงฆ์
ศาสนาเป็นสถาบันสำคัญยิ่งสำหรับชนในชาติเพราะคำสอนของศาสดาย่อมเป็นหลักทาง ทางใจ และเป็นแนวดำเนินชีวิตให้อยู่ในทำนองคลองทำ เพื่อความสุขสงบของชนในชาติ คนไทยได้ชื่อว่าเป็นชาติที่มีใจนับถือมั่นอยู่ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และปฏิบัติตามศาสนาประเพณีตลอดปีมิได้ขาด
การเคารพพระพุทธรูปซึ่งสมมุติเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ และเคารพพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
๑.นั่งคุกเข่ากระหย่งเท้าพนมมือยกขึ้นระหว่างคิ้วปลายนิ้วจรดไรผมแล้วกราบ แบมือราบกับพื้น๓ครั้งให้หน้าผากจรดพื้นระหว่างมือที่แบราบ เมื่อจบแล้วพนมมือขึ้นเหนือคิ้วอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า กราบในท่าเบญจางคประดิษฐ์
๒. การกราบทั้งสามครั้งนี้มีความหมายดังนี้
การกราบครั้งที่ ๑ กราบเพื่อระลึกถึงองค์พระพุทธเจ้า
การกราบครั้งที่ ๒ กราบพระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ผู้หญิงนั่งพับเพียบพนมมือระหว่างคิ้ว หมอบกราบแบมือทั้งสองข้างลงกับพื้น ๓ ครั้ง
๔. ถ้าเห็นพระสงฆ์ในเวลาที่เรายืนอยู่นอกสถานบ้านเรือนจะย่อเข่าลงหรือไหว้ก็ได้แต่ให้ปลายนิ้วมือจรดที่ตีนผม
๕. การถวายของพระ
ชาย ถวายได้โดยตรงต่อมือพระสงฆ์ท่านเลยคุกเข่ากราบแบมือครั้งเดียว
หญิง ต้องคอยให้ท่านปูผ้าชิ้นเล็กที่เรียกว่า ผ้ากราบ เพื่อรับเสียก่อนจึงว่างถวายลงบนผ้านั้นเมื่อถวายแล้วกราบอีกครั้ง โดยหมอบกราบแบมือครั้งเดียว
๖. การตักบาตร ถ้ารองเท้าไม่สุภาพควรถอดรองเท้าถ้าใช้เครื่องแบบหรือแต่งตัวแบบสากลไม่ต้อง ถอดก็ได้หยิบของลงในบาตรพระด้วยความระมัดระวัง วางทีละชิ้นโดยใส่ข้าวก่อนเสมอ
๗. ผู้หญิงไปหาพระสงฆ์ต้องนั่งพับเพียบให้เรียบร้อยไม่ควรอยู่ตามลำพังกับพระสงฆ์ต้องมีบุรุษนั่งอยู่ด้วยจึงจะถูกตามวินัยสงฆ์
๘. การพูดกับพระสงฆ์ต้องมีสำมาคารวะไม่พูดเล่นพล่อย ๆ ซึ่งฟังดูเป็นการขาดความเคารพต่อพระสงฆ์
๙. ผู้หญิงห้ามแตะตัวพระแม้แต่ชายผ้าสบงหรือจีวรที่ท่านนุ่งห่มอยู่ก็ไม่ได้
๑๐. ไม่หยิบของที่เตรียมไว้ตักบาตรมารับประทาน
๑๑. ไม่จำเป็นจะต้องรับประทานอาหารที่นำมาเลี้ยงหน้าศพ ต่อหน้าพระสงฆ์ที่นั่งอยู่ในพิธี
๑๒. กุลสตรีไม่ควรแต่งตัวไม่สุภาพไปวัด เช่น นุ่งกางเกงขาสั้น ถือว่าเป็นการไม่รู้จักกาละเทศะ
๑๓. ไม่สรวลเสเฮฮาในวัดควรสงบและสำรวมอิริยาบถ
๑๔. ถ้าจะถวายปัจจัยแด่พระสงฆ์ควรเขียนจำนวนลงในใบปวารนาบัตรใส่ซองถวาย